วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

จะทะเลาะกันไปทำไม?? "โขนไทย - โขนเขมร"

... พาดหัวข่าวเมื่อสองวันที่ผ่านมา เกี่ยวกับโลกโซเชี่ยลฝั่งกัมพูชาที่เริ่มมีการออกมาโพสต์ลงในสื่อ "โขน" ไม่ใช่ของไทย แต่เป็นของเขมรต่างหาก เอาล่ะทีนี้พี่ไทยพอเห็นข่าวเข้าก็ต่างรุมสกรัมพ่อเขมรหนุ่มหน้าตาบ้องแบ๊วทั้งหลายกันอย่างยกใหญ่ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ งัดหลักฐานข้อมูลมาข่มกัน จนกลายเป็น talk of the town ขึ้นมาทันที
... แต่โดยประเด็นสำคัญที่ชาวกัมพูชาหลายคนที่ออกมากล่าวเช่นนี้ก้เพราะว่า พี่ไทยเรานี่เองล่ะครับที่จะเสนอโขนให้เป็น "มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้" ต่อยูเนสโก้กับเค้าบ้าง หลังจากที่ทางกัมพูชาได้ยื่น ละโคนพระกรุณา (Royal Ballet of Cambodia) ที่เป็นการแสดงที่หน้าตาเหมือนกับโขนไทยราวกับฝาแฝด ขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเมื่อมีการยื่นทับไลน์กับจากไทย (ซึ่งมีข่าวมาเรื่อยๆเลยครับทั้งรำไทย หนังใหญ่ ฯลฯ) มีหรือที่กัมพูชาเค้าจะยอม จนเป็นที่มาของการโพสต์แสดงความเห็นและการตอบโต้กันตามประเด็นดังกล่าว
... จากเหตุการณ์ที่กล่าวมาผมก็ลองเข้าไปอ่านตามโลกโซเชี่ยลเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ ทั้งหลายทั้งมวลครับก็ออกมาในแนวที่ว่าใครลอกใคร กูคิดก่อน มึงคิดทีหลัง .... เมามันกันมากเลยครับ แต่จะว่ากันไปแล้วหลายๆความเห็นที่น่าเชื่อถือและผมก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้วนั่นคือจะทะเลาะกันไปทำไมครับ เพราะอย่างไรสุดท้ายมันก็คือวัฒนธรรมร่วมกันของอุษาคเนย์นี่แหละครับ แค่ใครจะเอาไปดัดแปลงหรือพัฒนาให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็มีรากมาจากอันเดียวกันนั่นแหละครับท่านผู้ชม

วัฒนธรรมร่วม - วัฒนธรรมลอกมาร่วมกัน
.. จะกล่าวถึงวัฒนธรรมร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันสักหน่อย อันที่จริงมีหลายอย่างมากเลยน่ะครับที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมจริงๆของกลุ่มคนที่อยู่เราได้ยินและรับทราบกันว่าแต่ละประเทศในปัจจุบันต่างแย่งกันเป็นเจ้าของ อย่างกรณีผ้าบาติกกับปาเต๊ะที่ตีกันมานานแล้วของอินโดและมาเลย์ สีย้อมกับขี้ผึ้งที่ใช้ก็เป็นวัสดุท้องถิ่นมีอยู่ในทั้งในเขตคาบสมุทรมาลายู สุมาตรา ชวา บอร์เนียว เหมือนๆกัน  หรืออย่างกรณีของตะกร้อกับเซปัค ชินลงกับตะกร้อลอดห่วง ที่ต่างคนต่างก็มีหวายมาสานเพื่อนำมาเตะเล่นเป็นเหมือนกันจนไม่รู้ว่าใครเริ่มก่อนใคร ใครลอกใคร ซึ่งจริงๆแล้วกรณีแบบนี้มันเป็นวัฒนธรรมร่วมครับ ที่มันมีมาก่อนที่จะเป็นรัฐชาติหรือก่อนที่จะมีฝรั่งหัวทองมีขีดเส้นแบ่งให้พวกเราเป็นคนนั้นเป็นคนนี้  เป็นวัฒนธรรมที่คนในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เค้าสร้างสรรค์ร่วมกันมาตั้งนานมาแล้วครับ ประเด็นเหล่านี้จึงฟันธงยากครับว่าจะมาตัดสินว่าใครคิดใครทำมาก่อน 
... แต่ในหลายๆอย่างก็เป็นวัฒนธรรมต่างถิ่นที่แพร่เข้ามาจนพวกเราในหลายๆถิ่นรับเข้ามาพร้อมๆกันจนลืมนึกไปว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีชนชาติตนเองเป็นผู้ให้กำเนิด พอมีบางอย่างที่มีรายละเอียดแตกต่างกันนิดหน่อยอันเกิดจากเมื่อแต่ละคนรับเข้ามาแล้วก็มีการพัฒนาต่อให้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ก็จะมีคนโวยวายตีโพยตีพายว่าแกลอกชั้นมาใช่มั๊ย จนลืมนึกไปว่าที่มันคล้ายกันก็เพราะว่ามันมาจากรากอันเดียวกันนั่นเอง เหมือนกรณีโขนละครที่เป็นข่าวล่ะครับ จริงๆแล้วถ้ามองในแง่ความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ผมว่ามันก็เป็นอิทธิพลที่มาจากอินเดียนั่นแหละครับ เพราะลักษณะทางนาฏศิลป์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมดก็มีลักษณะที่คล้ายกับท่ารำของอินเดีย คือมีตั้งจีบ ตีวง แบะขา ยุบย่อเป็นพื้นฐานเหมือนๆกัน ไม่มีใครลอกใคร เหมือนประมาณว่าเรียนมาจากครูคนเดียวกัน แต่พอกลับบ้านไปดันลืมท่า พอจำได้แค่ลางๆก็เลยคิดท่ารำเองโดยเอาตัวอย่างพื้นฐานมาจากครูคนเดียวกันนั่นแหละครับ

เขมรเค้าว่ามี ทวารวดี ฟูนัน ศรีวิชัยเค้าก็มี แต่จะเถียงไปทำไมเพราะที่อินเดียเค้าก็มีจ้า




ไทยเขมรทำไมชอบตีกัน .

... จะว่ากันไปทำไมไทยเขมรจึงตีกันกันบ่อยนักเรื่องของชั้นของเธอ ทั้งทั้งๆถ้าเรามองภาพความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับลาวดูท่าว่าจะเหมือนกันมากกว่าซะอีก มีโอกาสตีกันได้มากกว่าอีก ประเด็นนี้เราต้องมองภาพวัฒนธรรมออกเป็น 2 ชั้นครับ คือวัฒนธรรมของชนชั้นนำ ชนชั้นปกครอง กับวัฒนธรรมชาวบ้าน พื้นบ้าน ซึ่งถ้าแยกออกมาเป็นอย่างนี้แล้วจะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมของชนชั้นนำหรือวัฒนธรรมที่เป็นการรับรู้หลักของชนชาติที่เรียกว่าไทยในปัจจุบันนี้นั้น เหมือนกับเขมรเกือบทั้งหมดเลยครับ อันเป็นผลของการรับเอารูปแบบวัฒนธรรมของราชสำนักเขมรมาใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น - ตอนกลาง ดังนั้นแล้ววัฒนธรรมแกนหลักของไทยจึงมีรูปแบบเหมือนกับของเขมร (ที่รับเอามาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง) มาแบบไม่ผิดเพี้ยน จะแตกต่างกันตรงที่พัฒนาการของไทยนั้นมีความต่อเนื่องกันมายาวนาน อันเนื่องจากราชสำนักที่เป็นผู้อุปถัมภ์หลักนั้น ดำรงสืบต่อเนื่องมาไม่ขาดช่วงนั่นเอง ผิดกับเขมรครับที่มีช่วงที่ขาดหายไป ลุ่มๆดอนๆหลายช่วง จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ของไทยที่เขมรยกรูปแบบวัฒนธรรมของราชสำนักไทยไปฟื้นฟูราชสำนักของเขมรแบบไปทั้งกระบิเลยครับ ดังนั้นวัฒนธรรมที่เป็นการรับรู้หลักของประเทศไทยและกัมพูชาในปัจจุบันนั้นจึงเหมือนกัน
... แต่ในกรณีของลาวกับไทย สิ่งที่เหมือนกันนั้นเป็นวัฒนธรรมพื้นถิ่นของชาวบ้านครับ เค้าไม่ตีกันหรอก ระดับวัฒนธรรมพื้นบ้านมันไม่ได้แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นรัฐชาติที่ศูนย์กลางไงล่ะครับ ดังนั้นพอไทย-ลาว มีวัฒนธรรมชาวบ้านร่วมกันก็เป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นถ้าลาวมองตนเองอย่างเป็นมุมมองรัฐชาติน่ะครับเค้าก็จะมองว่าวัฒนธรรมหลักของเค้าคนอีสานบ้านเราเอาวัฒนธรรมเค้าไปใช้ แต่พี่ไทยที่ศูนย์กลางกลับไม่โวยวายอะไรเพราะวัฒนธรรมพื้นบ้านแถบอีสาน หรือวัฒนธรรมคนล้านนาภาคเหนือที่ไปคล้ายกับลาวหลวงพระบาง เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านเท่านั้น ไม่ใช่วัฒนธรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของชาติที่ชั้นกำหนดเอาไว้ยังไงล่ะครับ
... ดังนั้นคำว่าเอกลักษณ์ของชาติที่เป็นวัฒนธรรมหลักของแต่ละประเทศดันมาเหมือนกัน ก็เลยกลายมาเป็นประเด็นให้ตีกันอยู่ร่ำไป ไหนจะเป้นเรื่องเชิงความรู้สึกของคนเขมรกับคนไทยที่ประวัติศาสตร์แบบรัฐชาติสอนให้คนเขมรกับคนไทยเกลียดกันอีก เช่น ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมและวัฒนธรรมของขอมโบราณที่กระจายอยู่ทั่วไปในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน แต่ความภาคภูมิใจเหล่านี้กลับถูกย่ำยีโดยพวกเสียมโครตเหง้าศักราชของพวกไทยปัจจุบัน ในขณะที่ภาพลักษณ์ของอาณาจักรกัมพูชาในวิชาประวัติศาสตร์ไทยสอนว่าพระยาละแวกเป็นคนโกงฉวยโอกาส หรือกัมพูชาชอบตีตนออกห่างจากสยามไปสวามิภักดิ์กับชาติอื่นทั้งๆที่ตนเองมีฐานะเป็นประเทศราชของสยาม หรือ กรณีแย่งชิงดินแดนเขาพระวิหาร การเผาสถานฑูตไทย ฯลฯ เหล่านี้จึงกลายเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนง่ายต่อการกระตุ้นความรู้สึกเกลียดชังกันได้เป็นอย่างดี
... เพราะฉะนั้นเมื่อมีความขัดแย้งแบบนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่มันจะจุดง่ายครับ แล้วเราทั้งสองฝ่ายก็พร้อมลงสนามเล่นกันด้วยน่ะครับ ทั้งๆที่เรื่องความงดงามทางวัฒนธรรมเหล่านี้พวกเราควรจะยินดีร่วมกันไม่ใช่เหรอ ใครจะยื่นอะไรก็ไม่น่าจะเป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์กัน โขนไทย กับ ละโคนพระกรุณา ก็ไม่ได้เป็นการแสดงประเภทเดียวกันสักหน่อย แม้จะเหมือนกันอย่างฝาแฝดก็ตาม โขนไทยก็ยังเป็นโขนไทย รำแบบไทย ร้องแบบไทย หน้าพาทย์แบบไทย ในขณะละโคนพระกรุณาก็ร้องภาษาเขมร รำแบบเขมร ไม่รู้จะต้องเถียงกันเอาชนะเอาโล่ห์ชิงรางวัลกันไปเพื่ออะไร หรือถ้ามีเถียงแล้วชนะไปข้างนึงต่อไปห้ามใช้ชื่อว่าโขนน่ะ ให้ใช้ว่าละโคนพระกรุณาฉบับบทพากษ์ภาษาไทยหรือครับ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่เถียงกัน มันเป็นของพวกเราทุกคนต่างหาก พวกเราคำนี้มีความหมายใหญ่น่ะครับ ตอนนี้รวมร่างเข้าสู่ AEC แล้ว แม้จริงๆอาจจะไม่มีจุดประสงค์เพื่อให้สลายพรมแดนรัฐชาติก็ตาม แต่ว่าถ้าสักวันพวกเรากลายเป็นสิ่งที่อยู่ในความรับรู้ของทุกคนในเขต AEC ล่ะครับ นึกเองแล้วกัน พวกเราที่มีประชากรกว่า 400 ล้านคน พวกเราที่มีทรัพยากรมหาศาล พวกเราที่อยู่ในเขตที่สามารถเพาะปลูกเลี้ยงดูคนสัตว์ได้ตลอดทั้งปี จะไปไกลกันขนาดไหน คิดเอาแล้วกันครับ

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

5 สิ่งในจีนที่แสดงว่าวันชุนเฟินมาถึงแล้ว

.... ต่อเนื่องมาจากโพสต์ที่แล้วครับ พอดีช่วงนี้หลังกลับจากจีน - มาเก๊า เริ่มรู้สึกว่าสนใจความเป็นจีนเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ก็ไม่รู้ว่าวิญญาณบรรพชนแถวๆนั้นมาเข้าสิงหรือเปล่าเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้ความเป็นจีนแผ่ซ่านไปยังทุกอณูของร่างกายเป็นอย่างมาก ก็เลยเอาเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวันชุนเฟิงหรือวันวสันตวิษรุตในประเทศจีนมาเล่าให้ทุกๆคนให้รับชมกันครับ
... ตามปฏิทินจันทรคติของจีนโบราณนั้น จริงๆแล้วใน 1 ปี สามารถแบ่งออกได้เป็น  24 ช่วงด้วยกัน (จะแบ่งเยอะไปไหนกันน่ะ) โดยนับตั้งแต่ช่วงก่อนวันตรุษจีนประมาณ 4-5 วันจะเป็นช่วงที่ 1 จากนั้นอีกทุกๆ 15 วันก็จะเปลี่ยนช่วงไป วันชุนเฟิน (春分) ก็คือวันเริ่มต้นของช่วงที่ 4 ตามปฏิทินจัทรคติของจีน จะตรงกับช่วงวันวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) พอดี โดยปีนี้วันชุนเฟิงจะตรงกับวันที่ 21 มีนาคม และ ไปสิ้นสุดช่วงที่ 4 ในวันที่ 4 เมษายน 2559 โดยช่วงชุนเฟินนี้จะเป็นช่วงต่อเนื่องมาจากช่วงที่ 3 นั่นคือช่วงจิงเจ๋อ (惊蛰) หรือ เอ้อเยว่เอ้อ (二月二) หรือวันที่ 2 เดือน 2 ตามปฏิทินจีน ก็ที่เป็นช่วงสำคัญที่มีประเพณีสำคัญอีกประเพณีหนึ่งของชาวจีน ที่เรียกว่า "หลงไท่โถว" แปลว่ามังกรเชิดหัว ก็หมายถึงวันที่มังกรตื่นขึ้นมาพร้อมเริ่มต้นการทำเกษตรกรรม เป็นช่วงเริ่มต้นการเพาะปลูก ซึ่งจากนั้นก็จะมีการเพาะปลูกกันมีประเพณีพื้นถิ่นนั่นโน่นนี่กันอีกจนมาถึงวันชุนเฟิน ก็จะมีการฉลองใหญ่อีกครั้งเพราะคราวนี้ถือว่าเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิพอดี (ที่จีนจะนับวันแรกของฤดูใบไม้ผลิในช่วงวันที่ 23 - 24 เดือน 12) โดยในช่วงนี้ พฤกษานานาพันธุ์และพืชผลจะเจริญงอกงามได้ดี เนื่องจากอากาศจะอบอุ่นมากขึ้น เริ่มมีฝนโปรย อันเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเพาะปลูกได้อย่างเต็มที่ ชาวจีนเลยถือกันว่างานนี้ต้องมีฉลองกันหน่อยก่อนที่งานการที่หนักหน่วงจะเริ่มถาโถมเข้ามาหลังนี้ไปแล้ว

คราวนี้ก็จะเป็นเรื่องราวของ 5 สิ่ง
ที่บอกให้ทุกคนได้รู้ว่าวันชุนเฟินนั้นมาถึงแล้วน่ะครับ

1. เจ้านกนางแอ่นบินขึ้นเหนือกลับบ้าน
คนจีนโบราณกล่าวกันเอาไว้าว่าเมื่อใดก็ตามที่นกนางแอ่นบินกลับขึ้นเหนือมา หลังจากหนีหนาวไปลั้นลาทางใต้แถวไท่กั๋วหรือไทยแลนด์แดนสไมล์แล้ว นั่นหมายความว่าเวลานั้นเข้าสู่ช่วงชุนเฟินแล้ว (เตรียมฉลองกันได้เลยครับ)


 2. ประเพณีตั้งไข่
ประเพณีการตั้งไข่ในวันชุนเฟิน อันสืบทอดมายาวนานกว่า 4,000 ปี ตรงกับช่วงวันที่ 20-22 มี.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ระยะเวลาในตอนกลางวันกับกลางคืนยาวเท่ากัน เล่ากันแต่โบราณกาลว่า ในวันชุนเฟินนี้ จะสามารถตั้งไข่ให้ตรงได้ง่าย เนื่องจากแกนโลกเอียงทำองศากับวงโคจรโลกได้อย่างพอดีสำหรับการตั้งไข่ให้ได้ผลสำเร็จ จะต้องใช้ไข่ที่สดใหม่ไม่เกิน 4-5 วัน และหาจุดนูนบนเปลือกไข่ 3 จุด จากนั้นเล็งให้แกนกลางของไข่อยู่ตรงกึ่งกลางพอดี โดยเชื่อว่าใครที่สามารถตั้งไข่ได้จะได้รับโชคดีไปตลอดทั้งปีเหมือนเริ่มต้นฤดูอันเป็นมงคลนี้ด้วยการทำสิ่งยากให้ประสพความสำเร็จได้ แต่สำหรับที่ไต้หวันประเพณีตั้งไข่นี้จะทำกันในฤดูร้อนช่วงเทศกาลไหว้บะจ่าง (เทศกาลตวนอู่) ซึ่งมีความหมายเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าพอย้ายเกาะไปปุ๊บประเพณีนี้เปลี่ยนวันไปได้อย่างไรเหมือนกัน


3. กินผักที่ปลูกในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงวันดังกล่าว จะมีการกินชุนไช่ "春菜" หรือผักสดที่เพิ่งโตเต็มที่เป็นการต้อนรับฤดูแห่งการเพาะปลูก ก็จะนำผักเหล่านั้นมากินกันในครอบครัว บางพื้นที่ เช่นทางตะวันออกเฉียงเหนือแถบเหลียวหนิง (บ้านเกิดของป๋ากู้ไห่แห่ง HEROIN WEB SERIES) ก็จะกินผักเหล่านั้นกับแผ่นแป้งกลมบางๆ (ขนมชุนปิ่ง / 春饼) นำมาห่อเป็นเหมือนปอเปี๊ยะ ถือว่าจะเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว เพราะคนโบราณสอนกันมาว่าถ้ากินผักตามฤดูกาลแล้วจะมีสุขภาพที่ดีและนำมาสู่ความโชคดี

4.พิธีบูชาพระอาทิตย์โดยทั่วไปแล้วพิธีบูชาพระอาทิตย์นั้นจะจัดในช่วงของ Zhonghe /  Longtaitou Festival แต่ในส่วนของชาวปักกิ่งเองนั้นนิยมจัดพิธีบูชาพระอาทิตยืในช่วงเทสกาลชุนเฟินแทน ตามขนบประเพณีของราชสำนักที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง - ชิง โดยสมัยก่อนจะเป็นพระราชพิธีเฉพาะราชสำนักเท่านั้น แต่ต่อมาภายหลังในปัจจุบัน พิธีนี้ก็เป้นที่แพร่หลายนิยมทำกันโดยทั่วไป      

5. ประเพณีการให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยง
ประเพณีนี้นิยมกันในภาคใต้ของจีนครับ จะว่าไปทำไมต้องให้อาหารสัตว์ด้วยเพราะปกติก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว อันที่จริงประเพณีนี้ไม่ใช่การเลี้ยงดูกันแบบธรรมดา เนื่องจากว่าต่อจากนี้ไปเหล่าเกษตรกรและสัตวืเลี้ยงจะต้องเริ่มการทำงานอย่างหนักในฤดุการเพาะปลุกนี้ ดังนั้นก่อนจะเริ่มการทำงานชาวบ้านจะหาอาหารอย่างดีโดยเป็นข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมป้อนแก่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาพร้อมกับในช่วงนี้พวกเขาจะต้องปฏิบัติกับเหล่าสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดี (ประมาณว่าไม่ทุบตี) ซี่งตามความเชื่อนี้แสดงออกถึงการขอบคุณพวกมัน ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถมีกิน มีผลผลิตที่ดี นอกจากนี้บางคนถึงขนาดให้อาหารแก่นกเพื่อขอบคุณที่พวกมันช่วยบอกสัญญาณว่าฤดุการเพาะปลุกได้เรื่มขึ้นแล้ว (เหมือนประมาณบอกพวกมันว่าตอนนี้ให้กินแล้วน่ะ ต่อไปอย่ามาแอบกินผลผลิตในท้องนาของเราจนเสียหายเลยน่ะ) 

.... นี่แหละครับ 5 สิ่งที่คนจีนบอกว่า ชุนเฟินมาถึงแล้วน่ะ...

Credit ข้อมูล : chinadaily.com.cn

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

วสันตวิษุวัติ - ครีษมายัน - ศารทวิษุวัติ - เหมายัน

... แค่อ่านชื่อโพสต์หลายๆคนคงนึกว่าจะรีวิวนิยายของสร้อยดอกหมาก "ครีษมายัน-อมันตรา" หรือเปล่า??? ... เพราะที่บ้านผมก็มีอยู่เล่มนึง ... 555 ไม่ใช่หรอกครับ แต่ที่มาของบทความนี้ก็มาจากชื่อนิยายนี่แหละ ตอนแรกก็สงสัยน่ะว่าแปลว่าอะไร แต่วันนี้ได้โอกาสประจวบเหมาะเนื่องจากวันนี้คือวันวสันตวิษุวัติ หนึ่งใน 4 วันที่เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างนึงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนฤดูการณ์ตามหลักสากล (ครีษมายันคือหนึ่งในนั้นด้วย) ฉะนั้นก็เลยอยากเอาความรู้นี้มาแบ่งปันกันให้เพื่อนๆได้ทราบกันน่ะครับ อย่างน้อยก็จะได้รู้ความหมายของคำศัพท์ไทยยากๆ 4 คำนี้ เผื่อวันหลังจะได้โม้กับเพื่อนได้รู้เรื่องครับ
... รู้หรือไม่ว่าวันนี้ของทุกปี (หรือประมาณ 20 - 21 มีนาคมของทุกปี) คือวันราตรีเสมอภาค จะเป็นวันที่มีกลางวันเท่ากับกลางคืนเป๊ะเลยครับ คือ 12 ชั่วโมงเท่ากันเราเรียกวันนี้ว่าวัน "วสันตวิษุวัต หรือ Vernal Equinox" ในทางดาราศาสตร์หมายถึงวันที่แสงจากดวงอาทิตย์ตกลงบนพื้นโลกเป็นมุมตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรพอดี จึงถือว่าวันนี้เป็นวันแรกของการเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการของฝั่งซีกโลกเหนือครับ ดังนั้นเราจะเห็นคำว่า Spring Equinox ซึ่งก็หมายถึงวันวสันตวิษุวัตเช่นเดียวกัน
... จริงๆแล้วใน 1 ปีจะมีปรากฎการณ์แบบนี้อยู่ 2 ครั้งครับ คือวันวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ตรงกับวันที่ 20-21 มีนาคม และอีกวันนึงเรียกว่า "ศารทวิษุวัต หรือ Autumnal Equinox" จะตรงกับวันที่ 22 - 23 กันยายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ดวงอาทิตย์วนกลับมาตั้งฉากกับผิวโลกที่เส้นศุนย์สูตรอีกครั้ง นั่นก็คือวันเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูไบไม้ร่วงนั่นเอง
... ก็ด้วยความที่แกนโลกเอียง แถมโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีซะอีก ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวัน แสงจากดวงอาทิตย์ก็จะไม่ตกตั้งฉากในตำแหน่งเดิมครับ คือจะค่อยๆเลื่อนขึ้นไป (เพราะโลกจะค่อยๆเอียงซีกโลกฝั่งเหนือเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ขึ้น) ดังนั้นในซีกโลกฝั่งเหนือนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปก็จะเริ่มมีกลางวันมากกว่ากลางคืนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็จะร้อนขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดไกลที่สุดที่พระอาทิตย์ตั้งฉากกับผิวซีกโลกฝั่งเหนือก็คือที่เส้น Tropical of Cancer หรือ ละติจูดที่ 23.5 องศาเหนือนั่นเอง วันนั้นเราจะเรียกว่า "ครีษมายัน (ครีด-สะ-มา-ยัน) หรือ Summer Solostice" ซึ่งจะตรงกับวันที่ 20 - 21 มิถุนายนของทุกปี หรือเป็นวันเริ่มต้นของฤดูร้อนของซีกโลกเหนือนั่นเอง
... จากนั้นพี่ดวงอาทิตย์จะย้อนกลับครับไปไกลสุดได้แค่นั้น ก็ถอยลงมาเรื่อยๆจนถึงวันศารทวิษุวัติ (เริ่มฤดูใบไม้ร่วงในซีกโลกเหนือแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิในซีกโลกใต้) จากนั้นก็โลกจะเริ่มเอียงเอาซีกโลกใต้หันหาพระอาทิตย์แล้วครับ ซีกโลกเหนือจะค่อยๆเย็นลง จนกระทั่งแสงจากดวงอาทิตย์ตกตั้งฉากกลับโลกไกลจากซีกโลกเหนือมากที่สุดคือที่เส้น Tropical of Capricorn หรือ ละติจูดที่ 23.5 องศาใต้ วันนั้นซีกโลกฝั่งเหนือจะเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ก็จะประมาณวันที่ 21 - 22 ธันวาคม เราเรียกว่า "วันเหมายัน(เห-มา-ยัน) หรือ Winter Solstice" วันนั้นทางซีกโลกเหนือจะมีกลางคืนนานกว่ากลางวันมากที่สุดประมาณ 13 / 11 ชั่วโมง แต่ในทางซีกโลกใต้ก็จะเป็นวันเข้าสู่หน้าร้อนและวันที่มีกลางวันยาวกว่ากลางคืนมากที่สุดนั่นเอง



.... ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประเทศใดที่อยู่ระหว่างเส้นศูนย์สูตรจนถึงเส้นทรอปิคออฟแคนเซอร์ หรือถึงเส้นทรอปิคออฟแคปริคอร์นก็ตาม ก็จะมีโอกาศที่จะร้อนถึงขีดสุดได้เท่าๆกัน หมายถึงทุกที่จะต้องมีวันใดวันหนึ่งที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในระยะทางใกล้เคียงกันได้พอๆกัน (ดวงอาทิย์จะตั้งฉากกับบ้านเราประมาณวันที่ 25 - 26 เมษายน) แต่จะเห็นได้ว่าทำไมบ้านเราถึงร้อนกว่าเค้าน่ะ ก็เป็นเพราะว่าเราอยู่ในช่วงใกล้พระอาทิตย์ตั้งแต่เดือนประมาณมีนาคม ลากยาวไปถึงเดือนสิงหาคมเลยครับ กว่าดวงอาทิตย์จะหนีจากซีกโลกเหนือไปก็โน่นแหละปลายเดือนกันยายน เพราะฉะนั้นแล้วยิ่งเขตต่ำกว่าละติจูด 5 องศาเหนือลงไปปีๆนึงจะได้เจอพระอาทิย์แบบใกล้ชิดนานแค่ไหน อย่าได้คิดเลยครับ 6 เดือนเต็ม แต่ก็เป็นที่โชคดีเพราะเขตเส้นศูนย์สูตรจะมีมรสุมวนไปเวียนมาตลอดกลายเป็นร้อนบวกฝนเป็นเขตร้อนชื้นตลอดเวลาเลยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ไม่ร้อนไม่หนาว อากศค่อนข้างร้อนสม่ำเสมอตลอดปี ฝนก็ตกเกือบทุกวันนั่นเอง เพราะฉะนั้นโซนที่ซวยก็คือละติจูดประมาณ 5 - 15 องศาเหนือขึ้นไป / 5 - 15 องศาใต้ลงมา ก็จะที่มีอากาศร้อนค่อนข้างนานราว 4- 5 เดือน แถมฝนตกมั่งไม่ตกมั่งเขตนี้ล่ะครับ เมืองร้อนของแท้เลยท่านผู้ชม ...5555 นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมภาคกลาง อีสาน เหนือเวลาหน้าร้อนจะหนักกว่าภาคใต้ หรือยกภาพง่ายๆน่ะว่าเขตนี้มีใครบ้าง เช่น ไทยแลนด์ อินเดีย ปากีสถาน อิหร่าน ตะวันออกกลาง เขตซาฮาร่าและแอฟริกาเหนือ ตอนใต้ของเม็กซิโก หรือในซีกโลกใต้ที่อยู่ในเขตประมาณนี้ เช่น ภาคเหนือออสเตรเลีย อาฟริกาตอนใต้ เปรู ชิลี ภาคเหนือของอาร์เจนติน่า เป็นต้น

ปล.บางประเทศถือว่าโชคดีคืออยู่ในเขตนี้ก็จริงแต่มีมรสุมมาช่วยชีวิตเลยไม่ร้อนจัดเช่น ฟิลิปปินส์ อเมริกากลาง แคริบเบียน