วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หลัก 6 ประการของภาพวาดจีน : จุดกำเนิดวิชาทฤษฎีศิลปะของจีน

ในปรัชญาและวิธีการในภาพวาดของจีนตั้งแต่สมัยโบราณนั้น มีหลักการที่สำคัญหรือกล่าวได้ว่าเป็นทฤษฎีหลักของการวาดภาพของจีนเลยก็ว่าได้เรียกว่า “หลัก 6 ประการของภาพวาดจีน” หรือ “Six Principles of Chinese Painting” ซึ่งปรากฏอยู่ในคำนำของงานเขียนเก่าแก่ที่ชื่อว่า“The Record of the Classification of Old Painters”โดย Xie He (谢赫) ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักเขียน, นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงในช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 5


หลัก 6 ประการของภาพวาดจีนนั้นประกอบไปด้วย


1. 气韵生动是也 - Spirit Resonance / Rhythm and Breath
หลักการที่ว่าด้วยอารมณ์ทางศิลปะ หมายถึง พลังงานที่ใช้ในทางศิลปะ กล่าวถึงวิธีการวาดภาพ (a method or technique) ว่าจะต้องมีแรงพลังดันและใส่จิตวิญญาณของศิลปินเข้าในไปเทคนิคการวาด นั่นคืออารมณ์ความรู้สึก การสร้างจังหวะทางศิลปะ เข้าไปด้วยจึงจะทำให้ภาพเขียนนั้นมีความชัดเจนและมีพลังดึงดูด ตามความหมายของหลักข้อนี้อาจกล่าวได้ว่าศิลปะที่ดีนั้นจะต้องทำให้ผู้ชมผลงานได้เห็นเหมือนกับสิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อความหมายด้วยตาของเค้าเอง หรือต้องทำให้ผู้ชมลงานเกิดอาการหัวใจเต้นรัว หายใจแรงได้เมื่อเห็นผลงานชิ้นนั้นเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นก็คือศิลปินสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณลงไปในภาพเขียนได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ภาพเขียนใดไม่สามารถสะท้อนจิตวิญญาณของภาพได้นั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องสนใจดูอีกต่อไป”
 Nine Dragons by  Chen Rong (C.13)


2. 骨法用笔是也 - Bone Method
หลักการที่ว่าด้วยทักษะการใช้พู่กัน หมายถึง เทคนิควิธีการใช้แปรงหรือพู่กันเพื่อควบคุมทิศทางในการวาดภาพให้ออกมาตามต้องการอย่างสวยงามและลื่นไหล นอกจากนี้ Bone Method ยังหมายถึงความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างภาพวาดกับบุคลิกภาพของศิลปิน กล่าวคือภาพวาดนั้นจะมีลักษณะเป็นอย่างไร สามารถสังเกตได้จากบุคลิกลักษณะของศิลปินผ่านเทคนิคการวาดของเขานั่นเอง ซึ่งเหมือนกับศิลปะการเขียนตัวอักษรของจีน (ที่ในสมัยของ Xie He ศิลปะการเขียนตัวอักษรและศิลปะการวาดภาพเป็นศาสตร์ประเภทเดียวกัน) เทคนิคการใช้พู่กันของศิลปินแต่ละคนสามารถวิเคราะห์บุคลิกลักษณะของผู้เขียนได้ จากลายมือที่เค้าเขียน
Intelligent Ladies by Gu Kaizhi (C.4)


3. 应物象形是也 - Correspondence to the Object
หลักการที่ว่าด้วยความเข้าใจเรื่องลายเส้นและรูปร่าง หมายถึง ศิลปินผู้วาดภาพจะต้องสามารถดึงเอาความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งนั้นๆออกมาและแสดงความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงผ่านรูปทรงหรือลายเส้นในภาพเขียนนั้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Xie He ให้ความสำคัญมากกว่าลักษณะทางกายภาพภายนอกของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นแล้วศิลปินที่ดีต้องรู้ซึ้งและเข้าใจธรรมชาติของวัตถุอย่างถ่องแท้และสามารถถ่ายทอดออกมาได้
Peaches and a Dove by Emperor Huizong (C.12)


4. 随类赋彩是也 - Suitability to Type of Color
หลักการที่ว่าด้วยการใช้สี หมายถึง จะต้องเลือกใช้สี (Color) น้ำหนัก (Value) เฉดสี (Tone) ให้เหมาะสมกับกับภาพนั้นๆได้อย่างลงตัวสวยงาม โดย Xie He เชื่อว่าศิลปินที่ดีต้องมีความซื่อสัตย์ในการใช้สีที่เหมือนกับสอดคล้องกับความเป็นจริง แม้ว่าบางครั้งอาจจะเลือกใช้สีที่ไม่เสมือนจริงก็ตามแต่ถ้าสีนั้นสามารถสะท้อนมิติหรืออารมณ์ของภาพได้อย่างสวยงามก็ถือว่าเป็นการเลือกสีให้เหมาะสมกับภาพเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าหลักการในข้อนี้ยังสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ในงานเขียนแบบประเพณีดั้งเดิม (Traditional Painting)
Grand Scenery by Wang Xi (C.12)


5. 经营位置是也 - Division and Planning
หลักการที่ว่าด้วยการวางองค์ประกอบทางศิลปะ หมายถึง ความสำคัญของการแบ่งสัดส่วนและจัดวางความสมดุลของภาพเขียนให้สอดคล้องกับพื้นที่ มิติความกว้าง ความยาวและความลึก Xie He กล่าวว่า "การวางองค์ประกอบที่ดีจะทำให้ภาพนั้นมีชีวิต" สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอีกประการเพราะการสร้างผลงานที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อนั้น ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสร้างสรรค์ในการวางแผนการจัดวางองค์ประกอบของศิลปินเอง
Six Persimmons by Mu Qi (C.13)


6. 传移模写是也 - Transmission by Copying
หลักการที่ว่าด้วยการส่งต่อทางศิลปะ หมายถึง การส่งต่องานทางศิลปะโดยการคัดลอก Xie He สนับสนุนเรื่องการเรียนรู้โดยการคัดลอกผลงานของคนรุ่นก่อนหน้าจะทำให้ศิลปะแบบดั้งเดิมจึงจะสามารถสืบทอดต่อไปได้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะคัดลอกเพียงลวดลาย รูปแบบมาอย่างเดียว สิ่งที่ศิลปินรุ่นหลังจะต้องตระหนักเอาไว้เป็นสิ่งสำคัญนั่นคือต้องคัดลอกจิตวิญญาณของศิลปินรุ่นก่อนมาใส่ในภาพด้วย ดังนั้นศิลปินยุคหลังจะต้องหมั่นฝึกฝน จดจำ เรียนรู้งานจากรุ่นก่อนมาให้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยมาปรับใช้ให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง องค์ความรู้ทางศิลปะแบบดั้งเดิมถึงจะคงอยู่ต่อไปได้พร้อมกับสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกด้วย
Section of the handscroll entitled 
Admonitions of the Instructress to the Court Ladies by Gu Kaizhi (C.4)


ในตอนท้าย Xie He สรุปเอาไว้ว่า หลักการในข้อ 2 - 5 นั้นเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้ แต่สำหรับในข้อที่ 1 นั้นไม่สามารถเรียนรู้ได้ เป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวของแต่ละคนเท่านั้น ดังนั้นศิลปินคนใดจะสามารถสืบต่อองค์ความรู้ทางศิลปะจากคนยุคก่อนได้อย่างสมบูรณ์นั้นตามหลักการข้อที่ 6 นั้น เขาจะต้องมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมในหลักการข้อที่ 1 ด้วย

(โดยอาจเปรียบเทียบให้เห็นอย่างง่ายๆว่าไม่เพียงแต่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการใช้เทคนิคการวาดภาพเป็นพิเศษหรือเวลาที่ใช้ในการวาดภาพเป็นเวลานานละเมียดละไมเท่านั้น จะพบว่าผลงานชิ้นสำคัญของศิลปินที่มีชื่อเสียงฝั่งตะวันตกอย่าง Leonardo DaVinci, El Greco หรือ Michael Angelo ล้วนเกิดจากศิลปินที่มีบุคลิกพิเศษโดดเด่นทั้งนั้น เพราะเชื่อว่าบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษเหล่านี้ สามารถดึงเอาอารมณ์หรือจิตวิญาณของตนเองถ่ายทอดลงในภาพเขียนของเค้าได้ดีกว่าคนทั่วไป หรือตัวอย่างศิลปินไทยเช่น อ.เฉลิมชัย, อ.ถวัลย์ เป็นต้น)
- ความคิดเห็นของข้าพเจ้าเอง -


จะเห็นได้ว่าหลัก 6 ประการนี้ก็คือวิชาทฤษฎีศิลปะที่พวกเราทุกคนต้องเรียนกันนี่เอง เพราะฉะนั้นแล้วนักเรียนศิลปะคนไหนที่หวาดกลัวทุกทั้งเมื่อเรียนวิชาทฤษฎีศิลปะ หรือวิชาคอมโพส ต้องพยายามนึกว่าคนโบราณเค้าก้เริ่มจากการจดจำทฤษฎีเหล่านี้เหมือนกันครับ มันเป็นข้อพิสูจน์ว่าผลงานอมตะที่มีคุณค่าทั้งหลาย มาจากศิลปินที่ฝึกฝนทฤษฎีเหล่านี้จนเกิดความชำนาญทั้งนั้น
มีหลายคนจะชอบแย้งว่า "เรียนศิลปะต้องใช้อารมณ์ ไม่จำเป็นต้องมานั่งเรียนทฤษฎีหรอก" ความจริงแล้วอย่างที่ Xie He สรุปเอาไว้ในตอนท้ายว่า "หลักการในข้อ 2 - 5 นั้นเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้" ถ้าศิลปินทุกคนมีความสามารถครบถ้วนตามข้อ 2 - 5 จุดที่จะวัดว่าใครจะเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยมได้นั้น ก็คงต้องไปตัดสินกันที่ข้อที่ 1 แต่ถ้าศิลปินคนใดมีแต่ข้อที่ 1 อย่างเดียว ไม่มีทักษะความรู้อื่นเลย ลองคิดง่ายๆครับว่าจะสู้คนอื่นได้หรือเปล่าครับ

เรื่องของไตรภูมิ : ตอนที่ ๑ อะไรคือไตรภูมิ??

ที่มาของบทความในวันนี้มาจากคำบอกเล่าของนักเรียนศิลปะคนหนึ่งได้เล่าเหตุกาณ์ในวันพรีเซนต์รายงานวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะหน้าชั้นเรียนว่า "พี่เชื่อไหมว่า พอผมอธิบายเรื่องเกี่ยวกับไตรภูมิ ปรากฏว่าเพื่อนๆในชั้นที่ไม่ได้เรียนศิลปะไทย นั่งทำหน้าเป็นปลาดุกชนเขื่อนกันเกือบทุกคนเลย !! "  ผมก็ได้แต่อึ้งเล็กๆครับ เพราะไม่คิดว่าเด็กเรียนศิลปะส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่ด้วย)ไม่รู้จักไตรภูมิ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่จำเป็นมากในการที่จะทำให้สามารถ "เข้าใจได้" ในเรื่องศิลปะ โดยเฉพาะศิลปะของชาติไทยเราเอง ดังนั้นผมจึงอยากจะเขียนเรื่องราวของไตรภูมิ ในแบบที่คนที่ไม่เคยรู้จักไตรภูมิมาก่อนเลย พออ่านแล้วจะสามารถ "พอเข้าใจได้" จึงกลายมาเป็นที่มาของบทความนี้ครับ

ตอนที่ ๑ อะไรคือไตรภูมิ??

ไตรภูมิที่ว่านั้นหมายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่มีชื่อว่า "ไตรภูมิพระร่วง หรือ ไตรภูมิกถา" ถือได้ว่าเป็นวรรณคดีที่เก่าที่สุดของไทย (ถ้าไม่นับศิลาจารึกหลักที่ 1ของพ่อขุนรามคำแหง) โดยพระมหาธรรมราชาลิไท ทรงนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1888  สำหรับไตรภูมิสำนวนเดิมนี้ไม่ปรากฏว่ามีต้นฉบับเดิมครั้งกรุงสุโขทัยตกทอดหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ต้นฉบับที่นำมาใช้พิมพ์เผยแพร่ คือ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นต้นฉบับที่พระมหาช่วย วัดปากน้ำสมุทรปราการ ซึ่งท่านได้ต้นฉบับมาจากจังหวัดเพชรบุรีอีกทีหนึ่ง จึงได้จารเรื่องของ ไตรภูมิ ไว้ในใบลาน 30 ผูก   หลังจากนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพโปรดให้นำออกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก เรียกชื่อว่า "ไตรภูมิพระร่วง"  ต่อมากรมศิลปากร ได้จัดหาผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบชำระปรับปรุงข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่ยังมีอยู่ ซึ่งได้ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณคดีพุทธศาสนามาตรวจสอบชำระ โดยให้รักษาของเดิมให้มากที่สุดเมื่อตรวจสอบชำระเสร็จแล้วได้จัดพิมพ์เผยแพร่ในรัชกาลปัจจุบันอีกหลายครั้ง

นอกจากไตรภูมิพระร่วงฉบับพระมหาธรรมราชาลิไทแล้ว ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้า ฯ ให้พระราชาคณะและราชบัณฑิตช่วยกันแต่งเรื่องราวเกี่ยวกับ “ไตรภูมิ” สำนวนใหม่ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2326  เป็นหนังสือจบ 1 แต่ยังไม่สมบูรณ์ ครั้นถึง พ.ศ.2345 โปรดให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) แต่งต่อจนจบความ เราจะเรียกไตรภูมิสำนวนสมัยรัชกาลที่ 1 ว่า “ไตรภูมิโลกวินิจฉัย” (แต่ให้จำเอาไว้น่ะครับว่าเนื้อหาใน "ไตรภูมิกถา" กับ "ไตรภูมิโลกวินิจฉัย" เกือบจะอยู่กันคนละโลกเลยทีเดียว)

ความสำคัญ “ไตรภูมิ” ในเชิงการการปกครองนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมไทยตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เพราะได้รวบรวมคติความเชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกชั้นชน มาร้อยเรียงเป็นเรื่องให้ผู้อ่านเกิดเกรงกลัวต่อบาป ความเชื่อเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว การมุ่งมั่นกระทำคุณความดีต่างๆ ไตรภูมิจึงเป็นทั้งคำสอนประชาชนทั่วไปและคำสรรเสริญคนที่กระทำความดี เป็นกรอบของสังคมให้ประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกทำนองคลองธรรม รวมถึงเป็นแนวคิดสำหรับชนชั้นปกครองให้ตั้งมั่นอยู่ในกรอบแห่งความดีงามด้วย

ส่วนในเชิงศิลปะ ถือได้ว่า “ไตรภูมิ” เป็นแม่แบบหลักทางความคิดสร้างสรรค์ของศิลปะไทยเลยทีเดียว เพราะนอกจากไตรภูมิกถาจะเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาแล้วนั้น ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโลกศาสตร์ หรือจักรวาลวิทยาทางพระพุทธศาสนา อันได้แก่ศาสตร์ที่เกี่ยวกับกำเนิดโลก จักรวาล มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่ในจักรวาล หรือพูดง่ายๆได้ว่า เป็นความรับรู้ด้านภูมิศาสตร์ (Geography) ศิลปะภูมิทัศน์ (Landscape Art)  คติชนวิทยา (Folkloristics) แบบดั้งเดิมของไทยนั่นเอง ดังนั้นงานศิลปะของไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศานาไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรมในผนังพระอุโบสถ งานประติมากรรมอันเกี่ยวเนื่องกับศาสนา หรืองานสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับวัดวาอารามต่างๆ ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลทางความคิดในเรื่องของไตรภูมิทั้งสิ้น

สำหรับใครที่สนใจอยากอ่านไตรภูมิกถา ก็กดเข้าไปอ่านกันได้ครับ ผมแปะ link เอาไว้ให้แล้ว ส่วนวิธีการอ่านเอกสารเก่าหรืองานเขียนทางประวัติศาสตร์แบบพงศาวดารนั้น ว่างๆจะมาเหลาให้ฟังครับเพราะมีวิธีทำความเข้าใจ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมายเลยทีเดียวครับ