วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เกาะเรอูนิยง ฉากเล็กๆบนหน้าประวัติศาสตร์เวียดนาม

... เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องการพบซากเครื่องบินปริศนา ที่กองทัพอากาศฝรั่งเศสพบ บนเกาะเรอูนิยง (Réunion) จังหวัดโพ้นทะเลของฝรั่งเศส โดยต่อมาอีก 1 สัปดาห์ทางการมาเลเซียก็ได้ออกมาแถลงยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบินที่ MH370 !! แน่นอนว่าข่าวนี้สร้างความตกใจให้กับพวกเราๆท่านๆที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอดปีกว่าๆได้มากทีเดียวครับ แถมสร้างความตื่นเต้นให้นักข่าวไทยได้มากทีเดียวเพราะวันแรกๆพี่ๆนักข่าวไทยก็อ่านชื่อเกาะนี้ว่า "รียูเนียน" กันอยู่หลายช่องทีเดียว (แอบแซวเล่นๆครับเพราะตอนแรกที่ตามข่าวผมก็ว่า "รียูเนียน" เหมือนกัน)
... มาถึงเรื่องของเราบ้างครับ ... จะว่าไปแล้วเกาะนี้มันมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยครับ ซึ่งที่จริงแล้วถ้าเป็นประวัติความเป็นมาของตัวเกาะเองก็อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับความรับรู้ของเราเท่าไหร่น่ะครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เวียดนามช่วงการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศสล่ะก็ เกาะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะฉากเล็กๆฉากหนึ่ง ที่ใครๆหลายคนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญ นั่นก็คือเรื่องราวอัตชีวประวัติของ "จักรพรรดิ์ดุยตัน ผู้ที่เกือบจะเป็นบุรุษที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์เวียดนาม"
จักพรรดิ ดุยตัน (Emperor Duy Tan) จักรพรรดิพระองด์ที่ 11 ของราชวงศ์เหงียน (1907 - 1916) 

... สำหรับเรื่องราวนี้ ผมต้องขออนุญาตย้อนกลับไปปูเรื่องกันยืดยาวสักนิดน่ะครับ คือตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสตวรรษที่ 19 เพื่อความเข้าใจกันเสียก่อน กล่าวคือช่วงนั้นนอกจากจะเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทอย่างมากในราชสำนักของราชวงศ์เหงียนแล้วนั้น ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ฝรั่งเศสเริ่มแผนการณ์รุกคืบเข้ามายึดครองดินแดนของเวียดนามมากขึ้น โดยเริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1860s ที่ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองดินแดนโคชินไชน่า (แถบเมืองไซ่ง่อนและดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง) แต่ถึงกระนั้นราชวงศ์เหงียน ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ ตึดึ๊ก (Tu Duc) ซึ่งพระองค์มีนโยบายที่ค่อนข้างแข็งกร้าวกับต่างชาติ ทำให้ยังรักษาที่มั่นหลักในบริเวณภาคกลางของประเทศหรือเขตอันนัม (Annam) เอาไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตามราชวงศ์เหงียนก็ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้นานนัก สุดท้ายก็ต้องยกสัมปทานเมืองท่าใน 3 เขตหลักคือ ตังเกี๋ย อันนัม และ โคชินไชน่า ให้กับฝรั่งเศสในที่สุด


ดินแดนต่างๆในคาบสมุทรอินโดจีนที่ถูกฝรั่งเศสและอังกฤษยึดครอง
ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 - ต้นคริสตศตวรรษที่ 20
จักรพรรดิ ตึดึ๊ก (Emperor Tu Duc) จักรพรรดิพระองด์ที่ 4 ของราชวงศ์เหงียน (1847 - 1883)
และเป็นจักรพรรดิ์พระองค์สุดท้ายที่ทรงปกครองจักรวรรดิเวียดนามในฐานะรัฐเอกราช

... จนกระทั่งปี 1883 จักพรรดิตึดิ๊กสวรรคต การเมืองในราชสำนักก็วุ่นวายหนักมากในเรื่องการสืบราชสมบัติ เนื่องจากพระองค์ไม่มีรัชทายาทสืบต่อ มีแต่การรับพระนัดดามาเป็นบุตรบุญธรรม โดยมีพระนัดดา ที่เป็นโอรสของพระอนุชาลำดับที่ 26 ของพระองค์ นั่นคือเจ้าชาย เหงียนฟุค องไค (ต่อมาคือจักรพรรดิดองคานห์ - จักรพรรดิพระองค์ที่ 9 ของราชวงศ์เหงียน) ที่หลายๆคนคาดว่าพระองค์จะขึ้นเป็นจักรพรรดิสืบต่อแทนพระองค์ เพราะมีเพียงแค่พระองค์เดียวที่ทรงได้รับการสถาปนาพระอิศรยศขั้นสูงขึ้นเป็นถึงเจ้าชายแห่งเกียนซาง (Prince of Kien Giang) แต่แล้วเหล่าขุนนางผู้มีอำนาจในราชสำนักกลับเลือกเอาเจ้าชายเหงียนฟุค องอ้าย โอรสของพระอนุชาลำดับที่ 4 ขึ้นเป็นจักรพรรดิดึคดึค (Duc Duc) แทนด้วยเหตุผลที่ทางนักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นความประสงค์ของจักรพรรดิตึดึ๊กที่คาดว่าเจ้าชายเหงียนฟุค องอ้าย จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการคุกคามของฝรั่งเศสได้ดีกว่าเจ้าชายเหงียนฟุค องไค (ที่นักประวัติศาสตร์มองว่าทรงเป็นคนหัวอ่อน) แต่สุดท้ายคาดว่าเป็นความประสงค์ของฝรั่งเศสอย่างแน่แท้ เพราะจักรพรรดิดึคดึคก็ทรงอยู่ในตำแหน่งเพียง 3 วันเท่านั้น ก็ทรงสละราชสมบัติ และหลังจากนี้มีการเปลี่ยนพระจักรพรรดิถึง 4 พระองค์ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี สุดท้ายในปี 1885 ฝรั่งเศสก็ได้จักรพรรดิหนุ่มที่ถือว่าตรงสเป็กที่สุด นั่นคือจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งเวียดนาม (นอกจากนั้นแล้วหลังจากที่มีการสถาปนาดินแดนอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1884 แล้ว ก็มีการปลดพระจักรพรรดิเวียดนามและแต่งตั้งใหม่โยกย้ายกันไปมาระหว่างสายจักรพรรดิดึคดึค กับสายของจักรพรรดิดองคานห์ จนสิ้นสุดระบอบจักรพรรดิของเวียดนาม ก็เพราะหลักเกณฑ์สำคัญของฝรั่งเศสคือการเป็นจักรพรรดิเวียดนามต้องเชื่อฟังและควบคุมได้) 
จักรพรรดิ ดองคานห์ (Emperor Dong Khanh) จักรพรรดิพระองด์ที่ 9 ของราชวงศ์เหงียน (1885 - 1889) 
ผู้คาดหมายว่าจะเป็นรัชทายาทต่อจากจักรพรรดิตึดึ๊ก แต่กว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1885
จากการสนับสนุนของฝรั่งเศส ต้องรอการผลัดเปลี่ยนบัลลังค์มาอีกถึง 4 รัชกาล โดยตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์
พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ยอมเชื่อฟังและให้ความร่วมมือกับฝรั่งเศสมากที่สุด
... แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันไป คือในปี 1889 จักรพรรดิดองคานห์เสด็จสวรรคต ในขณะที่พระโอรสของพระองค์คือเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋เด๋า (ต่อมาคือจักรพรรดิไก๋ดินห์ - Emperor Khai Dinh) มีพระชนมมายุเพียง 4 พรรษาเท่านั้น ทรงยังไม่พร้อมที่จะขึ้นครองราชสมบัติ ประกอบกับทางฝรั่งเศสเกรงว่าแผนการกลืนชาติของตนเองอาจจะพบปัญหาอุปสรรคก็เป็นไปได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักและข้าหลวงของฝรั่งเศสจึงเลือกเอาเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋ล่าน พระโอรสของจักรพรรดิดึคดึค ที่ประชาชนให้ความเคารพมากกว่าจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิธานห์ไธ (Thanh Thai) โดยหวังว่าจะเป็นการลดกระแสกดดันจากชาวเวียดนามได้ แต่ปรากฏว่าความคิดนี้ของฝรั่งเศสนี้กลับผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะจักรพรรดิหนุ่มผู้ชาญฉลาดพระองค์ใหม่นี้มีบุคคลิกที่ทรงนำสมัยและมีพระราชกุศโลบายที่หลักแหลม แม้ว่าทรงขมขื่นกับการที่ประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก แต่ก็ทรงเป็นมิตรกับชาวตะวันตกและพยายามปฏิรูปราชสำนักเวียดนามให้ทันสมัยโดยเอาแบบอย่างตะวันตกมาใช้ เพื่อทรงวางรากฐานให้ประเทศเข้มแข็งและสักวันจะสามารถขับไล่ฝรั่งเศสให้สำเร็จได้ 
จักรพรรดิ ธานห์ไธ (Emperor Thanh Thai) จักรพรรดิพระองด์ที่ 10 ของราชวงศ์เหงียน (1889 - 1907) 
และพระราชบิดาของจักรพรรดิดุยตัน ทรงเป็นจักรพรรดิที่เริ่มต้นแนวคิดการต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสในเวียดนาม
... ด้วยนโยบายที่ค่อนข้างผ่อนปรนของฝรั่งเศสในการปกครองเวียดนามในช่วงปี 1902 - 1907 ในไม่ช้าพระองค์ก็ตระหนักว่าตอนนี้ได้เวลาที่เวียดนามต้องลุกขึ้นมาต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส โดยว่ากันว่าพระองค์ทรงแสร้งทำว่าพระองค์มีความไม่สมประกอบด้านจิตใจ เพื่อให้เหล่าสายลับของฝรั่งเศสในพระราชวังหลวงที่เมืองเว้ เชื่อว่าพระองค์มีสติวิปลาต จนตายใจว่าพระองค์จะไม่ทรงมีพิษภัยกับการปกครองของฝรั่งเศส แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านจักรวรรดินิยมของจีน และทรงได้รับอิทธิพลความคิดของคัง หยู่เหวย (Kang Youwei - นักปฏิรูปหัวก้าวหน้าของจีนที่มีอิทธิพลอย่างมากของเหล่าปัญญาชนของจีนในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20)  เฉกเช่นเดียวกับนักเคลื่อนไหวและเหล่าปัญญาชนของเวียดนามในขณะนั้น เพื่อเริ่มดำเนินแผนการต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม แต่แล้วในปี 1907 พระองค์ถูกจับได้ ทรงถูกกองทัพฝรั่งเศสควบคุมตัวและเนรเทศไปอยู่ที่เมืองหวุงเต่า (Vung Tau) เมืองชายทะเลอันไกลโพ้นทางภาคใต้ของเวียดนาม แต่เพราะเกรงว่าจะเกิดการต่อต้านที่รุนแรงของชาวเวียดนาม อันเนื่องมาจากการปลดจักรพรรดิที่เป็นที่เป็นที่นิยมและเคารพนับถืออย่างมาก ทางฝรั่งเศสจึงตัดสินใจแต่งตั้งเจ้าชายเหงียนฟุค วินห์ซาน พระโอรสของจักรพรรดิธานห์ไธ ขึ้นเป็นจักรพรรดิดุยตัน (Duy Tan) หรือที่นักวิชาการไทยหลายท่านออกเสียงว่า "ยวีเติ้น" ขึ้นเป็นจักพรรดิต่อจากพระราชบิดา ขณะมีพระชนมายุได้เพียง 7 พรรษาเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียฝรั่งเศสก็คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นการลดแรงกดดันของประชาชนได้มากทีเดียว และในขณะเดียวกันก็ตระหนักว่า "ยุวกษัตริย์ย่อมเชื่อฟังและสามารถควบคุมได้ง่าย"


จักรพรรดิดุยตัน ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขณะพระชนมายุได้ 7 พรรษา
ขบวนเสด็จจักรพรรดิดุยตันในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระราชวังหลวงเมืองเว้ ปี 1907

.... กาลเวลาผ่านไปจากยุวกษัตริย์ ก็เจริญพระชนม์เป็นจักรพรรดิหนุ่ม ที่ตอนแรกฝรั่งเศสมองว่าสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วจักรพรรดิดุยตัน ทรงเจริญรอยตามพระราชบิดามาโดยตลอด เพราะขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในพระราชวังหลวง (อาจจะเรียกได้ว่าถูกกักบริเวณก็ได้) ทรงมีพระสหายเป็นเหล่าขุนนางบางกลุ่มที่ยังจงรักภักดีต่อพระราชบิดาของพระองค์ ที่ปลูกฝังแนวคิดการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศให้กับพระองค์ (อันจะมีผลต่อความคิดทางการเมืองของพระองค์ในอนาคต) แผนการการก่อตั้งกองกำลังเพื่อต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสจึงเริ่มขึ้น
ตรัน จ่าว ฟ๋าน  (Trần Cao Vân) ที่ปรึกษาและขุนนางเก่าตั้งแต่สมัยจักรพรรดิธานห์ไธ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อความคิดเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชของจักรพรรดิดุยตันตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สุดท้ายเขาถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ข้อหาต่อต้านอำนาจฝรั่งเศสในปี 1916

... ในปี 1916  จักรพรรดิดุยตัน ขณะมีพระชนมายุ 16 ชันษา และ ตรัน จ่าว ฟ๋าน (Tran Cao Van) ขุนนางคู่ใจที่ปลูกฝังความคิดการต่อสู้เพื่อเอกราชให้กับพระองค์ ได้อาศัยช่วงที่ฝรั่งเศสติดพันการศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยไม่ได้เข้มงวดเรื่องการปกครองดินแดนอาณานิคมมากนัก ได้ทำการหลบหนีออกจากพระราชวังหลวงเพื่อออกไปเคลื่อนไหวและบัญชาการกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศสที่ตระเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ว่าแผนการลับนี้กลับรั่วไหลออกไปจากคนภายในกันเองเสียก่อน ทันใดนั้นกองทัพฝรั่งเศสก็เข้ามาล้อมพระราชวังหลวง จับตัวพระองค์พร้อมผู้ร่วมก่อการทั้งหมดได้ จากนั้นไม่กี่วันผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ทั้งหมดถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ แต่ฝรั่งเศสเห็นว่าไม่เป็นการดีแน่ๆถ้าจะประหารชีวิตจักรพรรดิดุยตันด้วย เพราะพระองค์ยังทรงชันษาไม่มากนัก และจะมีแรงกระเพื่อมมหาศาลตามมาถ้าประหารชีวิตพระองค์ ฝรั่งเศสจึงเลือกที่จะเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเรอูนิยงแทน พร้อมกับจักรพรรดิธานห์ไธพระราชบิดา เป็นการกำจัดสองอุปสรรคสำคัญของฝรั่งเศสออกไปในคราวเดียวกัน จากนั้นก็แต่งตั้งเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋เด๋า พระโอรสของจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิไก๋ดินห์ (Khai Dinh) ขึ้นปกครองเวียดนามแทน ทรงเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดที่ดีเหมือนพระราชบิดาของพระองค์ ทรงมีนโยบายหลายอย่างที่สอดคล้องกับนโยบายการกลืนชาติของฝรั่งเศส พระองค์จึงไม่เป็นที่นิยมของชาวเวียดนาม แต่เป็นที่พอใจของฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก แต่ด้วยพระองค์ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว ปลายปี 1925 พระองค์เสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ฝรั่งเศสจึงต้องตั้งพระโอรสขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนนั่นก็คือจักรพรรดิบ๋าวได๋ (Bao Dai) จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของเวียดนาม


จักรพรรดิ ไก๋ดินห์ (Emperor Khai Dinh) จักรพรรดิพระองด์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน (1916 - 1925) 
จักรพรรดิ บ๋าวได๋ (Emperor Bao Dai) จักรพรรดิพระองด์ที่ 13 ของราชวงศ์เหงียน (1926 - 1945)
จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม พระองค์เติบโตและได้รับการศึกษาอยู่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเป็นที่รับรุ้โดยทั่วไปว่าพระองค์เป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดให้กับฝรั่งเศส เช่นเดียวกับพระอัยกาและพระบิดา แต่ต่อมาภายหลังพระองค์มีกลับมามีบทบาทช่วงสั้นๆในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกี่ยวกับกระบวนการเรียกร้องเอกราชเวียดนาม แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากประชาชนเวียดนามไม่ได้ให้ความนิยมในตัวพระองค์มากนัก ท้ายที่สุดเมื่อเวียดนามล้มเลิกระบอบการปกครองแบบจักรพรรดิ พระองค์ก็เสด็จลี้ภัยไปประทับที่ประเทศฝรั่งเศสจนสิ้นพระชนม์ที่นั่น ในปี 1997

... ชีวิต ณ เกาะเรอูนียง แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้วก็ตาม จักรพรรดิดุยตัน ก็ยังเป็นที่นิยมและได้รับความเคารพอย่างสูงในหมู่ชาวเวียดนามที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเอกราชทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนั้นเมื่อพระองค์มาประทับอยู่ที่เรอูนียง ทำให้พระองค์ได้รับแนวคิดทางการเมืองใหม่ๆซึ่งล้วนแต่เป็นอุดมการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงให้การสนับสนุนแนวร่วมฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศสอย่างเปิดเผยด้วยการ เข้าร่วมชุมนุมและออกปราศัยสนับสนุนตัวแทน Popular Front ที่เกาะเรอูนียง  ในปี 1936  อย่างไรก็ตามด้วยสถานะของพระองค์ในตอนนั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้กลับมาต่อสู้เพื่อเอกราชในแผ่นดินมาตุภูมิอีกครั้ง 
จักรพรรดิดุยตันเข้าร่วมชุมนุมเพื่อสนับสนุนแนวร่วมฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส ที่เกาะเรอูนียง ในปี 1936


... ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานนักสถานการณ์ของโลกก็เปลี่ยนไป เกิดความระส่ำระส่ายไปในทุกหนทุกแห่ง เนื่องด้วยการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนเกาะห่างไกลอย่างเรอูนิยงก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน คือ ในปี 1940 หลังจากที่นาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองกรุงปารีสและดินแดนส่วนใหญ่บนภาคพื้นทวีปได้แล้วนั้น อาณานิคมโพ้นทะเลในมหาสมุทรอินเดีย เช่น มาดากัสการ์ มอริเชียส เรอูนิยงก็ถูกเหล่าทหารนาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองเช่นเดียวกัน ระบอบวีซี (Vichy Regime in France ) ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ปกครองและควบคุมดินแดนทั้งหมดของฝรั่งเศส ภายใต้การนำของนาซีเยอรมัน แต่ความชอบธรรมของระบอบการปกครองนี้ก็หมดไปเพราะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นหลายอย่าง เช่นการยกเลิกพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตยหลายๆอย่าง การจับตัวหรือลักพาตัวชาวยิว หรือการสังหารประชาชนผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับแบบไม่มีการสอบสวน เหล่านี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการท้ายทายอำนาจรัฐบาลสาธารณรัฐครั้งที่ 3 (รัฐบาลหุ่นเชิดของนาซีเยอรมันที่นำระบอบวีซีมาใช้ปกครองฝรั่งเศส) 
... จากการที่จักรพรรดิดุยตัน ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองที่กดขี่ในระบอบวีซี ในฐานะหนึ่งในพลเมืองฝรั่งเศสด้วยนั้น ประกอบกับพระองค์เป็นผู้ที่ถูกปลูกฝังแนวคิดเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชติดตัวมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเข้าร่วมรบกับกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชฝรั่งเศส (Free France Force) ที่มีนายพลชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle) เป็นผู้นำกองกำลัง จนในที่สุดกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชของฝรั่งเศสที่เกาะเรอูนิยงก็ประสพชัยชนะ ในช่วงต้นปี 1945
บทบาทการเป็นนายทหารสื่อสารในกองเรือพิฆาต Leopard  ของกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชฝรั่งเศส
... หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาวะสงครามได้สิ้นสุดลง แต่กระแสการเรียกร้องเอกราชของเหล่าประเทศอาณานิคมกลับกลายมาเป็นประเด็นสำคัญแพร่กระจายไปทั่วโลกแทน เช่นเดียวกันเวียดนามก็เป็นหนึ่งที่มีการเรียกร้องเอกราชที่เข้มข้น ประกอบกับชัยชนะของกองทัพเวียดมินห์ ในสงครามมหาเอเชียบูรพาที่ร่วมกับกองกำลังสัมพันธมิตร สามารถขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศได้ ทำให้ประชาชาชนเวียดนามต่างนิยมและสนับสนุนกองทัพเวียดมินห์เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวปกครองประเทศแบบสาธารณรัฐได้ หลังจากที่จักรพรรดิบ๋าวได๋ทรงสละราชสมบัติในเดือนสิงหาคม ปี 1945  
... ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิดุยตัน จึงกลับมาเป็นที่สนใจของชาวโลกอีกครั้ง เมื่อประธานาธิดีคนใหม่ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ชาร์ล เดอ โกล เข้าเจราจากับจักรพรรดิดุยตัน เพื่อขอให้พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง เพราะสถานการณ์ของฝรั่งเศสในเวียดนามค่อนข้างย่ำแย่ และเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าองค์จักรพรรดิบ๋าวได๋ ไม่เป็นที่ต้องการของชาวเวียดนามอีกต่อไป ทั้งนี้ฝรั่งเศสมองว่าจักรพรรดิดุยตันยังเป็นที่นิยมของชาวเวียดนามอยู่มาก เพราะพระองค์เปรียบเสมือนหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียกร้องเอกราชของชาวเวียดนาม การได้พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง ประเมินได้ว่าจะเป็นจุดประนีประนอมที่ดีที่สุด เพื่อลดแรงต่อต้านยืดเวลาให้ฝรั่งเศสตั้งหลักเพื่อเจราจาหรือหาข้อตกลงกับเวียดนามได้อีกระยะหนึ่ง แต่การเจราจาในครั้งนั้นมีรายละเอียดอย่างไรนั้นไม่มีใครทราบ ท้ายสุดแล้ว จักรพรรดิดุยตันก็ตัดสินพระทัยกลับไปยังเวียดนาม ท่ามกลางการรอคอยของประชาชนชาวเวียดที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันจักรพรรดิ ที่หวังว่าพระองค์จะกลับมาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเอกราชให้กับเวียดนาม 
... แต่แล้ว วันที่ 26 ธันวาคม 1945 ในระหว่างเส้นทางที่พระองค์จะเดินทางกลับไปยังเวียดนามอีกครั้งพร้อมกับเหล่าผู้สนันสนุนชาวเวียดนามหลายคน ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง พระองค์และผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิต พร้อมกับเป็นการดับความหวังของชาวเวียดนามที่มีต่อพระองค์ในฐานะผู้นำการเรียกร้องเอกราช จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ความหวังของการเรียกร้องเอกราชในเวียดนามทั้งหมดเทไปให้กับโฮจิมินห์ จนสุดท้ายก็เกิดสงครามระหว่างชาวเวียดนามกับฝรั่งเศสในปี 1949 และกินเวลาต่อมากว่า 5 ปี กระทั่งเวียดนามสามารถเผด็จศึกฝรั่งเศสได้ที่สมรภูมิเดียนเบียนฟู ในปี 1954 จนเป็นที่มาของอนุสัญญาเจนีวา ที่มีข้อตกลงให้แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ประเทศคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้


พระโอรสทั้ง  3 พระองค์นำหน้าขบวนเชิญอัฐิของจักรพรรดิดุยตัน
กลับมาบรรจุเอาไว้ในสุสานหลวง พระราชวังเดียนโธ  ในปี  1987

... นัยสำคัญประการหนึ่งในการมองภาพทางประวัติศาสตร์ ถ้าพระองค์ไม่ประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์เสียก่อน หน้าประวัติศาสตร์ของเวียดนามจะเป็นอย่างไร ในฐานะผู้นำของพระองค์จะนำพาเวียดนามไปในทางไหน โฮจิมินห์จะมีบทบาทอย่างไรในกระบวนการเรียกร้องเอกราชให้เวียดนาม สงครามเวียดนามจะเกิดขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าหลายสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากหน้าประวัติศาสตร์ที่เป็นอยู่ ไม่มากก็น้อย 
... บทบาทของพระองค์ในเรื่องการต่อสู้เอกราชเพื่อชาวเวียดนามนั้นแม้จะไม่ได้โดดเด่นในหน้าประวัติศาสตร์ที่พอจะเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางนั้น แต่เชื่อว่าใครที่ได้อ่านอัตชีวประวัติของพระองค์แล้วก็จะพบว่า เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เขามีความรักต่อแผ่นดินเกิดผู้นี้ น่าจะทำให้พวกเราระลึกถึงเรื่องราวชีวิตที่น่าจดจำเรื่องหนึ่งได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยที่สุดถ้าจะกล่าวว่าการได้มาซึ่งชัยชนะและความเป็นเอกราชของเวียดนามที่นำโดยโฮจิมินห์นั้น จะต้องมีเรื่องราวของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งในชัยชนะครั้งนั้นด้วย