... มาถึงเรื่องของเราบ้างครับ ... จะว่าไปแล้วเกาะนี้มันมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยครับ ซึ่งที่จริงแล้วถ้าเป็นประวัติความเป็นมาของตัวเกาะเองก็อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับความรับรู้ของเราเท่าไหร่น่ะครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เวียดนามช่วงการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศสล่ะก็ เกาะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะฉากเล็กๆฉากหนึ่ง ที่ใครๆหลายคนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญ นั่นก็คือเรื่องราวอัตชีวประวัติของ "จักรพรรดิ์ดุยตัน ผู้ที่เกือบจะเป็นบุรุษที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์เวียดนาม"
![]() |
จักพรรดิ ดุยตัน (Emperor Duy Tan) จักรพรรดิพระองด์ที่ 11 ของราชวงศ์เหงียน (1907 - 1916) |
... สำหรับเรื่องราวนี้ ผมต้องขออนุญาตย้อนกลับไปปูเรื่องกันยืดยาวสักนิดน่ะครับ คือตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสตวรรษที่ 19 เพื่อความเข้าใจกันเสียก่อน กล่าวคือช่วงนั้นนอกจากจะเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทอย่างมากในราชสำนักของราชวงศ์เหงียนแล้วนั้น ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ฝรั่งเศสเริ่มแผนการณ์รุกคืบเข้ามายึดครองดินแดนของเวียดนามมากขึ้น โดยเริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1860s ที่ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองดินแดนโคชินไชน่า (แถบเมืองไซ่ง่อนและดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง) แต่ถึงกระนั้นราชวงศ์เหงียน ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ ตึดึ๊ก (Tu Duc) ซึ่งพระองค์มีนโยบายที่ค่อนข้างแข็งกร้าวกับต่างชาติ ทำให้ยังรักษาที่มั่นหลักในบริเวณภาคกลางของประเทศหรือเขตอันนัม (Annam) เอาไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตามราชวงศ์เหงียนก็ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้นานนัก สุดท้ายก็ต้องยกสัมปทานเมืองท่าใน 3 เขตหลักคือ ตังเกี๋ย อันนัม และ โคชินไชน่า ให้กับฝรั่งเศสในที่สุด
![]() |
ดินแดนต่างๆในคาบสมุทรอินโดจีนที่ถูกฝรั่งเศสและอังกฤษยึดครอง ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 - ต้นคริสตศตวรรษที่ 20 |
![]() |
จักรพรรดิ ตึดึ๊ก (Emperor Tu Duc) จักรพรรดิพระองด์ที่ 4 ของราชวงศ์เหงียน (1847 - 1883) และเป็นจักรพรรดิ์พระองค์สุดท้ายที่ทรงปกครองจักรวรรดิเวียดนามในฐานะรัฐเอกราช |
... แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันไป คือในปี 1889 จักรพรรดิดองคานห์เสด็จสวรรคต ในขณะที่พระโอรสของพระองค์คือเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋เด๋า (ต่อมาคือจักรพรรดิไก๋ดินห์ - Emperor Khai Dinh) มีพระชนมมายุเพียง 4 พรรษาเท่านั้น ทรงยังไม่พร้อมที่จะขึ้นครองราชสมบัติ ประกอบกับทางฝรั่งเศสเกรงว่าแผนการกลืนชาติของตนเองอาจจะพบปัญหาอุปสรรคก็เป็นไปได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักและข้าหลวงของฝรั่งเศสจึงเลือกเอาเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋ล่าน พระโอรสของจักรพรรดิดึคดึค ที่ประชาชนให้ความเคารพมากกว่าจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิธานห์ไธ (Thanh Thai) โดยหวังว่าจะเป็นการลดกระแสกดดันจากชาวเวียดนามได้ แต่ปรากฏว่าความคิดนี้ของฝรั่งเศสนี้กลับผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะจักรพรรดิหนุ่มผู้ชาญฉลาดพระองค์ใหม่นี้มีบุคคลิกที่ทรงนำสมัยและมีพระราชกุศโลบายที่หลักแหลม แม้ว่าทรงขมขื่นกับการที่ประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก แต่ก็ทรงเป็นมิตรกับชาวตะวันตกและพยายามปฏิรูปราชสำนักเวียดนามให้ทันสมัยโดยเอาแบบอย่างตะวันตกมาใช้ เพื่อทรงวางรากฐานให้ประเทศเข้มแข็งและสักวันจะสามารถขับไล่ฝรั่งเศสให้สำเร็จได้
![]() |
จักรพรรดิ ธานห์ไธ (Emperor Thanh Thai) จักรพรรดิพระองด์ที่ 10 ของราชวงศ์เหงียน (1889 - 1907) และพระราชบิดาของจักรพรรดิดุยตัน ทรงเป็นจักรพรรดิที่เริ่มต้นแนวคิดการต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสในเวียดนาม |
![]() |
จักรพรรดิดุยตัน ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขณะพระชนมายุได้ 7 พรรษา |
ขบวนเสด็จจักรพรรดิดุยตันในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระราชวังหลวงเมืองเว้ ปี 1907 |
.... กาลเวลาผ่านไปจากยุวกษัตริย์ ก็เจริญพระชนม์เป็นจักรพรรดิหนุ่ม ที่ตอนแรกฝรั่งเศสมองว่าสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วจักรพรรดิดุยตัน ทรงเจริญรอยตามพระราชบิดามาโดยตลอด เพราะขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในพระราชวังหลวง (อาจจะเรียกได้ว่าถูกกักบริเวณก็ได้) ทรงมีพระสหายเป็นเหล่าขุนนางบางกลุ่มที่ยังจงรักภักดีต่อพระราชบิดาของพระองค์ ที่ปลูกฝังแนวคิดการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศให้กับพระองค์ (อันจะมีผลต่อความคิดทางการเมืองของพระองค์ในอนาคต) แผนการการก่อตั้งกองกำลังเพื่อต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสจึงเริ่มขึ้น
... ในปี 1916 จักรพรรดิดุยตัน ขณะมีพระชนมายุ 16 ชันษา และ ตรัน จ่าว ฟ๋าน (Tran Cao Van) ขุนนางคู่ใจที่ปลูกฝังความคิดการต่อสู้เพื่อเอกราชให้กับพระองค์ ได้อาศัยช่วงที่ฝรั่งเศสติดพันการศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยไม่ได้เข้มงวดเรื่องการปกครองดินแดนอาณานิคมมากนัก ได้ทำการหลบหนีออกจากพระราชวังหลวงเพื่อออกไปเคลื่อนไหวและบัญชาการกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศสที่ตระเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ว่าแผนการลับนี้กลับรั่วไหลออกไปจากคนภายในกันเองเสียก่อน ทันใดนั้นกองทัพฝรั่งเศสก็เข้ามาล้อมพระราชวังหลวง จับตัวพระองค์พร้อมผู้ร่วมก่อการทั้งหมดได้ จากนั้นไม่กี่วันผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ทั้งหมดถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ แต่ฝรั่งเศสเห็นว่าไม่เป็นการดีแน่ๆถ้าจะประหารชีวิตจักรพรรดิดุยตันด้วย เพราะพระองค์ยังทรงชันษาไม่มากนัก และจะมีแรงกระเพื่อมมหาศาลตามมาถ้าประหารชีวิตพระองค์ ฝรั่งเศสจึงเลือกที่จะเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเรอูนิยงแทน พร้อมกับจักรพรรดิธานห์ไธพระราชบิดา เป็นการกำจัดสองอุปสรรคสำคัญของฝรั่งเศสออกไปในคราวเดียวกัน จากนั้นก็แต่งตั้งเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋เด๋า พระโอรสของจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิไก๋ดินห์ (Khai Dinh) ขึ้นปกครองเวียดนามแทน ทรงเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดที่ดีเหมือนพระราชบิดาของพระองค์ ทรงมีนโยบายหลายอย่างที่สอดคล้องกับนโยบายการกลืนชาติของฝรั่งเศส พระองค์จึงไม่เป็นที่นิยมของชาวเวียดนาม แต่เป็นที่พอใจของฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก แต่ด้วยพระองค์ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว ปลายปี 1925 พระองค์เสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ฝรั่งเศสจึงต้องตั้งพระโอรสขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนนั่นก็คือจักรพรรดิบ๋าวได๋ (Bao Dai) จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของเวียดนาม
![]() |
จักรพรรดิ ไก๋ดินห์ (Emperor Khai Dinh) จักรพรรดิพระองด์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน (1916 - 1925) |
... ชีวิต ณ เกาะเรอูนียง แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้วก็ตาม จักรพรรดิดุยตัน ก็ยังเป็นที่นิยมและได้รับความเคารพอย่างสูงในหมู่ชาวเวียดนามที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเอกราชทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนั้นเมื่อพระองค์มาประทับอยู่ที่เรอูนียง ทำให้พระองค์ได้รับแนวคิดทางการเมืองใหม่ๆซึ่งล้วนแต่เป็นอุดมการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงให้การสนับสนุนแนวร่วมฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศสอย่างเปิดเผยด้วยการ เข้าร่วมชุมนุมและออกปราศัยสนับสนุนตัวแทน Popular Front ที่เกาะเรอูนียง ในปี 1936 อย่างไรก็ตามด้วยสถานะของพระองค์ในตอนนั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้กลับมาต่อสู้เพื่อเอกราชในแผ่นดินมาตุภูมิอีกครั้ง
![]() |
จักรพรรดิดุยตันเข้าร่วมชุมนุมเพื่อสนับสนุนแนวร่วมฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส ที่เกาะเรอูนียง ในปี 1936 |
... ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานนักสถานการณ์ของโลกก็เปลี่ยนไป เกิดความระส่ำระส่ายไปในทุกหนทุกแห่ง เนื่องด้วยการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนเกาะห่างไกลอย่างเรอูนิยงก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน คือ ในปี 1940 หลังจากที่นาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองกรุงปารีสและดินแดนส่วนใหญ่บนภาคพื้นทวีปได้แล้วนั้น อาณานิคมโพ้นทะเลในมหาสมุทรอินเดีย เช่น มาดากัสการ์ มอริเชียส เรอูนิยงก็ถูกเหล่าทหารนาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองเช่นเดียวกัน ระบอบวีซี (Vichy Regime in France ) ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ปกครองและควบคุมดินแดนทั้งหมดของฝรั่งเศส ภายใต้การนำของนาซีเยอรมัน แต่ความชอบธรรมของระบอบการปกครองนี้ก็หมดไปเพราะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นหลายอย่าง เช่นการยกเลิกพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตยหลายๆอย่าง การจับตัวหรือลักพาตัวชาวยิว หรือการสังหารประชาชนผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับแบบไม่มีการสอบสวน เหล่านี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการท้ายทายอำนาจรัฐบาลสาธารณรัฐครั้งที่ 3 (รัฐบาลหุ่นเชิดของนาซีเยอรมันที่นำระบอบวีซีมาใช้ปกครองฝรั่งเศส)
... จากการที่จักรพรรดิดุยตัน ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองที่กดขี่ในระบอบวีซี ในฐานะหนึ่งในพลเมืองฝรั่งเศสด้วยนั้น ประกอบกับพระองค์เป็นผู้ที่ถูกปลูกฝังแนวคิดเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชติดตัวมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเข้าร่วมรบกับกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชฝรั่งเศส (Free France Force) ที่มีนายพลชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle) เป็นผู้นำกองกำลัง จนในที่สุดกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชของฝรั่งเศสที่เกาะเรอูนิยงก็ประสพชัยชนะ ในช่วงต้นปี 1945
![]() |
บทบาทการเป็นนายทหารสื่อสารในกองเรือพิฆาต Leopard ของกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชฝรั่งเศส |
... ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิดุยตัน จึงกลับมาเป็นที่สนใจของชาวโลกอีกครั้ง เมื่อประธานาธิดีคนใหม่ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ชาร์ล เดอ โกล เข้าเจราจากับจักรพรรดิดุยตัน เพื่อขอให้พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง เพราะสถานการณ์ของฝรั่งเศสในเวียดนามค่อนข้างย่ำแย่ และเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าองค์จักรพรรดิบ๋าวได๋ ไม่เป็นที่ต้องการของชาวเวียดนามอีกต่อไป ทั้งนี้ฝรั่งเศสมองว่าจักรพรรดิดุยตันยังเป็นที่นิยมของชาวเวียดนามอยู่มาก เพราะพระองค์เปรียบเสมือนหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียกร้องเอกราชของชาวเวียดนาม การได้พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง ประเมินได้ว่าจะเป็นจุดประนีประนอมที่ดีที่สุด เพื่อลดแรงต่อต้านยืดเวลาให้ฝรั่งเศสตั้งหลักเพื่อเจราจาหรือหาข้อตกลงกับเวียดนามได้อีกระยะหนึ่ง แต่การเจราจาในครั้งนั้นมีรายละเอียดอย่างไรนั้นไม่มีใครทราบ ท้ายสุดแล้ว จักรพรรดิดุยตันก็ตัดสินพระทัยกลับไปยังเวียดนาม ท่ามกลางการรอคอยของประชาชนชาวเวียดที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันจักรพรรดิ ที่หวังว่าพระองค์จะกลับมาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเอกราชให้กับเวียดนาม
... แต่แล้ว วันที่ 26 ธันวาคม 1945 ในระหว่างเส้นทางที่พระองค์จะเดินทางกลับไปยังเวียดนามอีกครั้งพร้อมกับเหล่าผู้สนันสนุนชาวเวียดนามหลายคน ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง พระองค์และผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิต พร้อมกับเป็นการดับความหวังของชาวเวียดนามที่มีต่อพระองค์ในฐานะผู้นำการเรียกร้องเอกราช จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ความหวังของการเรียกร้องเอกราชในเวียดนามทั้งหมดเทไปให้กับโฮจิมินห์ จนสุดท้ายก็เกิดสงครามระหว่างชาวเวียดนามกับฝรั่งเศสในปี 1949 และกินเวลาต่อมากว่า 5 ปี กระทั่งเวียดนามสามารถเผด็จศึกฝรั่งเศสได้ที่สมรภูมิเดียนเบียนฟู ในปี 1954 จนเป็นที่มาของอนุสัญญาเจนีวา ที่มีข้อตกลงให้แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ประเทศคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
![]() |
พระโอรสทั้ง 3 พระองค์นำหน้าขบวนเชิญอัฐิของจักรพรรดิดุยตัน กลับมาบรรจุเอาไว้ในสุสานหลวง พระราชวังเดียนโธ ในปี 1987 |
... นัยสำคัญประการหนึ่งในการมองภาพทางประวัติศาสตร์ ถ้าพระองค์ไม่ประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์เสียก่อน หน้าประวัติศาสตร์ของเวียดนามจะเป็นอย่างไร ในฐานะผู้นำของพระองค์จะนำพาเวียดนามไปในทางไหน โฮจิมินห์จะมีบทบาทอย่างไรในกระบวนการเรียกร้องเอกราชให้เวียดนาม สงครามเวียดนามจะเกิดขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าหลายสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากหน้าประวัติศาสตร์ที่เป็นอยู่ ไม่มากก็น้อย
... บทบาทของพระองค์ในเรื่องการต่อสู้เอกราชเพื่อชาวเวียดนามนั้นแม้จะไม่ได้โดดเด่นในหน้าประวัติศาสตร์ที่พอจะเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางนั้น แต่เชื่อว่าใครที่ได้อ่านอัตชีวประวัติของพระองค์แล้วก็จะพบว่า เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เขามีความรักต่อแผ่นดินเกิดผู้นี้ น่าจะทำให้พวกเราระลึกถึงเรื่องราวชีวิตที่น่าจดจำเรื่องหนึ่งได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยที่สุดถ้าจะกล่าวว่าการได้มาซึ่งชัยชนะและความเป็นเอกราชของเวียดนามที่นำโดยโฮจิมินห์นั้น จะต้องมีเรื่องราวของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งในชัยชนะครั้งนั้นด้วย