วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The Violin - เรื่องราวของประวัติศาสตร์สิงคโปร์ที่ดูไปยิ้มไป

จากเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไวโอลินคันหนึ่งที่มีจุดเริ่มต้น ณ ย่าน Boat Quay ในปี 1939 เด็กชายชาวสิงคโปร์ผู้หนึ่งได้รับไวโอลินเก่าๆจากชายต่างชาติแปลกหน้า จากนั้นไวโอลินคันนี้กลายมาเป็นภาพเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์สิงคโปร์ที่ผ่านกาลเวลายาวนานกว่า 80 ปี ... 
สำหรับแอนนิเมชั่นเรื่องนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองประเทศสิงค์โปร์ครบรอบ 50 ปี  เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งแรกที่ได้ชมน่ะ ผมนี้อมยิ้มไป น้ำตาซึมไป เพลงประกอบก็เพราะ เนื้องเรื่องดูแล้วเข้าใจง่าย แถมเกิดแรงบันดาลใจที่จะหาเรื่องราวประวัติศาสตร์สิงคโปร์มานั่งอ่านทำไปทำมากลายเป็นว่ามีประเด็นน่าสนใจจนต้องหาอ่านกันนานพอสมควรเลยครับ 
เอาเป็นว่าไปชมกันเลยดีกว่า เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนๆเมื่อได้ดูแล้วรู้สึกแบบผมหรือเปล่า

"ถ้าเมืองไทยมีคนคิดทำสื่อดีๆแบบนี้บ้างเยอะๆ ลูกหลานไทยพอโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่จะได้ไม่ไปไหว้ลูกวัว 5 ขาเพื่อขอหวยกันน่ะครับ"


The Violin (小提琴) from Robot Playground Media on Vimeo.

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

เรื่องของไตรภูมิ : ตอนที่ ๒ ไตรภูมิคืออะไร??

ผมเชื่อว่าความเข้าใจของหลายๆคนคงคิดว่า "ไตรภูมิ" คือ สวรรค์ โลก และ นรก เหมือนกับที่ผมเข้าใจมาตลอด จนพอได้มารู้จักกับไตรภูมิจริงๆ จึงได้รู้ว่ามันช่างลึกล้ำพิศดารกว่าที่เราคิดเอาไว้มากเลยทีเดียว กล่าวคือ "ไตรภูมิ" คือดินแดน 3 ดินแดนทีประกอบกันเป็นจักรวาลตามคติทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ  ซึ่งแต่ละภูมิก็จะมีภูมิแยกย่อยไปอีก แถมแต่ละภูมิย่อยก็ยังมีดินแดนต่างๆ ที่ชื่อก็แสนจะยุ่งยาก จำกันปวดหัวอีกต่างหาก ผมก็เลยทำตารางช่วยจำง่ายๆ (อย่างย่ออีกต่างหาก) ของไตรภูมิตามภาพด้านล่างเลยครับ  
(ไม่ต้องจำชื่ออะไรมากมายน่ะครับเพราะจำไปไม่ค่อยได้ใช้อยู่ดี แต่ถ้าอยากจำก็จำแค่เฉพาะตัวหนังสือสีแดงก็พอครับ อันนี้น่าจะต้องได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆแน่ๆสำหรับนักเรียนศิลปะไทย นักเรียนประวัติศาสตร์)
... จากทั้ง 3 ภูมิ ในกามภูมิ เป็นภูมิที่ยังเกี่ยวข้องกับกามตัณหาอยู่ ยังมีความโลภ โกรธ หลง มีความอยาก ทุกข์สุข ซึ่งจะเห็นได้ว่าในกามภูมินั้นประกอบไปด้วย สวรรค์ โลก และ นรก ดังนั้นทั้งเทวดา นางฟ้า พญามาร มนุษย์ อมนุษย์ หรือสรรพสัตว์ต่างๆ จึงยังมีการข้องแวะกันอยู่ แต่สำหรับในรูปภูมิและอรูปภูมินั้น เป็นในส่วนที่สูงขึ้นไปซึ่งแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับรู้ของมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราเลย ยิ่งการเขียนคำอธิบายถึงรูปภูมิและอรูปภูมิในไตรภูมิกถานั้นแสนจะเข้าใจยากเสียด้วย ดังนั้นการรับรู้ของพวกเราจะวนๆกันอยู่ในแถวๆกามภูมินี่แหละครับ  (จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมให้จำแต่สีแดง) ซึ่งการทำความรู้จักไตรภูมิในบริบทเพื่อความเข้าใจในเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะนั้น เราจะมาโฟกัสกันที่กามภูมิกันน่ะครับ

... ต่อมาสิ่งสำคัญของการศึกษาไตรภูมิที่จะต้องเข้าใจกันก่อน เพื่อให้ได้อรรถรสและความเข้าใจที่ง่ายขึ้น นอกจากจะจำชื่อภูมิ จำชื่อดินแดนต่างๆแล้ว เราจะต้องมารู้จักแผนที่จักรวาลกันอีกอย่างครับ เพื่อที่จะได้รู้ว่าดินแดนต่างๆเหล่านี้มันอยู่ตรงไหนในแผนที่แบบไตรภูมิ (แน่นอนมีชื่อยาวๆยากๆแปลกๆมาให้จำกันเพิ่มอีกแล้วครับท่าน) เรามาเริ่มกันจากแกนกลางของจักรวาลกันก่อนครับ ให้ลองนึกภาพตามน่ะครับว่าแกนกลางมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งมีความสูง 168,000 โยชน์ โดยโผล่พ้นน้ำมา 84,000 โยชน์ และจมลงในพื้นน้ำอีก 84,000 โยชน์ มีชื่อว่าเขาสิเนรุ หรือ เขาพระสุเมรุนั่นเอง โดยที่บริเวณฐานลึกสุดมีภูเขาอีก 3 ลูกเล็กๆหนีบเขาพระสุเมรุเอาไว้ มีชื่อเรียกว่าเขาตรีกูฏ รอบๆเขาพระสุเมรุมีหมู่ภูเขาบริวารล้อมรอบเขาพระสุเมรุเอาไว้เป็นรูปวงแหวนซ้อนกัน 7 วงมีความสูงลดหลั่นกันลงมาจากวงในสุด ไปยังวงนอกสุด (วงในสุดที่ติดกับเขาพระสุเมรุจากสูงที่สุด) เราเรียกว่าเทือกเขาสัตบริภัณฑ์ ซึ่งระหว่างเทือกเขาทั้ง 7 นี้มีแม่น้ำคั่นอีก 7 สายที่จะเชื่อมต่อกันแล้วขยายตัวเป็นพื้นมหาสมุทรเราเรียกว่า มหานทีสีทันดร ... จินตนาการง่ายๆเหมือนเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง แล้วมีภูเขารูปโดนัทซ้อนเป็นวงกลมอีก 7 อัน ระหว่างโดนัททั้ง 7 ก็มีแม่น้ำกั้น จนวงโดนัทชั้นนอกสุดถึงจะเป็นมหาสมุทร และในส่วนมหาสมุทรจะมีแผ่นดิน 4 ทวีปทั้งทาง เหนือใต้ออกตก ที่จะเป็นที่มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ร่วมกัน .... พูดมาซะยืดยาวไปชมภาพประกอบเพื่อความเข้าใจกันดีกว่าครับ

แผนที่จักรวาลแบบตัดขวาง คร่าวๆจะเป็นแบบนี้ล่ะครับ

" ตอนต่อไปมารู้จักดินแดนต่างๆในกามภูมิกันน่ะครับ แต่ละที่มีชื่อคุ้นหูภาพคุ้นตากันมากมาย แล้วเราจะได้รู้ว่าไตรภูมินั้นอยู่ใกล้ตัวเรามากแต่แค่ไม่รู้เท่านั้นเองครับ "
ย้อนกลับไปชมตอนแรกได้ที่นี่ครับ


วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เกาะเรอูนิยง ฉากเล็กๆบนหน้าประวัติศาสตร์เวียดนาม

... เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องการพบซากเครื่องบินปริศนา ที่กองทัพอากาศฝรั่งเศสพบ บนเกาะเรอูนิยง (Réunion) จังหวัดโพ้นทะเลของฝรั่งเศส โดยต่อมาอีก 1 สัปดาห์ทางการมาเลเซียก็ได้ออกมาแถลงยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบินที่ MH370 !! แน่นอนว่าข่าวนี้สร้างความตกใจให้กับพวกเราๆท่านๆที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอดปีกว่าๆได้มากทีเดียวครับ แถมสร้างความตื่นเต้นให้นักข่าวไทยได้มากทีเดียวเพราะวันแรกๆพี่ๆนักข่าวไทยก็อ่านชื่อเกาะนี้ว่า "รียูเนียน" กันอยู่หลายช่องทีเดียว (แอบแซวเล่นๆครับเพราะตอนแรกที่ตามข่าวผมก็ว่า "รียูเนียน" เหมือนกัน)
... มาถึงเรื่องของเราบ้างครับ ... จะว่าไปแล้วเกาะนี้มันมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยครับ ซึ่งที่จริงแล้วถ้าเป็นประวัติความเป็นมาของตัวเกาะเองก็อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับความรับรู้ของเราเท่าไหร่น่ะครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เวียดนามช่วงการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศสล่ะก็ เกาะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะฉากเล็กๆฉากหนึ่ง ที่ใครๆหลายคนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญ นั่นก็คือเรื่องราวอัตชีวประวัติของ "จักรพรรดิ์ดุยตัน ผู้ที่เกือบจะเป็นบุรุษที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์เวียดนาม"
จักพรรดิ ดุยตัน (Emperor Duy Tan) จักรพรรดิพระองด์ที่ 11 ของราชวงศ์เหงียน (1907 - 1916) 

... สำหรับเรื่องราวนี้ ผมต้องขออนุญาตย้อนกลับไปปูเรื่องกันยืดยาวสักนิดน่ะครับ คือตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสตวรรษที่ 19 เพื่อความเข้าใจกันเสียก่อน กล่าวคือช่วงนั้นนอกจากจะเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทอย่างมากในราชสำนักของราชวงศ์เหงียนแล้วนั้น ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ฝรั่งเศสเริ่มแผนการณ์รุกคืบเข้ามายึดครองดินแดนของเวียดนามมากขึ้น โดยเริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1860s ที่ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองดินแดนโคชินไชน่า (แถบเมืองไซ่ง่อนและดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง) แต่ถึงกระนั้นราชวงศ์เหงียน ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ ตึดึ๊ก (Tu Duc) ซึ่งพระองค์มีนโยบายที่ค่อนข้างแข็งกร้าวกับต่างชาติ ทำให้ยังรักษาที่มั่นหลักในบริเวณภาคกลางของประเทศหรือเขตอันนัม (Annam) เอาไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตามราชวงศ์เหงียนก็ไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้นานนัก สุดท้ายก็ต้องยกสัมปทานเมืองท่าใน 3 เขตหลักคือ ตังเกี๋ย อันนัม และ โคชินไชน่า ให้กับฝรั่งเศสในที่สุด


ดินแดนต่างๆในคาบสมุทรอินโดจีนที่ถูกฝรั่งเศสและอังกฤษยึดครอง
ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 - ต้นคริสตศตวรรษที่ 20
จักรพรรดิ ตึดึ๊ก (Emperor Tu Duc) จักรพรรดิพระองด์ที่ 4 ของราชวงศ์เหงียน (1847 - 1883)
และเป็นจักรพรรดิ์พระองค์สุดท้ายที่ทรงปกครองจักรวรรดิเวียดนามในฐานะรัฐเอกราช

... จนกระทั่งปี 1883 จักพรรดิตึดิ๊กสวรรคต การเมืองในราชสำนักก็วุ่นวายหนักมากในเรื่องการสืบราชสมบัติ เนื่องจากพระองค์ไม่มีรัชทายาทสืบต่อ มีแต่การรับพระนัดดามาเป็นบุตรบุญธรรม โดยมีพระนัดดา ที่เป็นโอรสของพระอนุชาลำดับที่ 26 ของพระองค์ นั่นคือเจ้าชาย เหงียนฟุค องไค (ต่อมาคือจักรพรรดิดองคานห์ - จักรพรรดิพระองค์ที่ 9 ของราชวงศ์เหงียน) ที่หลายๆคนคาดว่าพระองค์จะขึ้นเป็นจักรพรรดิสืบต่อแทนพระองค์ เพราะมีเพียงแค่พระองค์เดียวที่ทรงได้รับการสถาปนาพระอิศรยศขั้นสูงขึ้นเป็นถึงเจ้าชายแห่งเกียนซาง (Prince of Kien Giang) แต่แล้วเหล่าขุนนางผู้มีอำนาจในราชสำนักกลับเลือกเอาเจ้าชายเหงียนฟุค องอ้าย โอรสของพระอนุชาลำดับที่ 4 ขึ้นเป็นจักรพรรดิดึคดึค (Duc Duc) แทนด้วยเหตุผลที่ทางนักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นความประสงค์ของจักรพรรดิตึดึ๊กที่คาดว่าเจ้าชายเหงียนฟุค องอ้าย จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการคุกคามของฝรั่งเศสได้ดีกว่าเจ้าชายเหงียนฟุค องไค (ที่นักประวัติศาสตร์มองว่าทรงเป็นคนหัวอ่อน) แต่สุดท้ายคาดว่าเป็นความประสงค์ของฝรั่งเศสอย่างแน่แท้ เพราะจักรพรรดิดึคดึคก็ทรงอยู่ในตำแหน่งเพียง 3 วันเท่านั้น ก็ทรงสละราชสมบัติ และหลังจากนี้มีการเปลี่ยนพระจักรพรรดิถึง 4 พระองค์ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี สุดท้ายในปี 1885 ฝรั่งเศสก็ได้จักรพรรดิหนุ่มที่ถือว่าตรงสเป็กที่สุด นั่นคือจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งเวียดนาม (นอกจากนั้นแล้วหลังจากที่มีการสถาปนาดินแดนอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสในปี 1884 แล้ว ก็มีการปลดพระจักรพรรดิเวียดนามและแต่งตั้งใหม่โยกย้ายกันไปมาระหว่างสายจักรพรรดิดึคดึค กับสายของจักรพรรดิดองคานห์ จนสิ้นสุดระบอบจักรพรรดิของเวียดนาม ก็เพราะหลักเกณฑ์สำคัญของฝรั่งเศสคือการเป็นจักรพรรดิเวียดนามต้องเชื่อฟังและควบคุมได้) 
จักรพรรดิ ดองคานห์ (Emperor Dong Khanh) จักรพรรดิพระองด์ที่ 9 ของราชวงศ์เหงียน (1885 - 1889) 
ผู้คาดหมายว่าจะเป็นรัชทายาทต่อจากจักรพรรดิตึดึ๊ก แต่กว่าพระองค์จะได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1885
จากการสนับสนุนของฝรั่งเศส ต้องรอการผลัดเปลี่ยนบัลลังค์มาอีกถึง 4 รัชกาล โดยตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์
พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ยอมเชื่อฟังและให้ความร่วมมือกับฝรั่งเศสมากที่สุด
... แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันไป คือในปี 1889 จักรพรรดิดองคานห์เสด็จสวรรคต ในขณะที่พระโอรสของพระองค์คือเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋เด๋า (ต่อมาคือจักรพรรดิไก๋ดินห์ - Emperor Khai Dinh) มีพระชนมมายุเพียง 4 พรรษาเท่านั้น ทรงยังไม่พร้อมที่จะขึ้นครองราชสมบัติ ประกอบกับทางฝรั่งเศสเกรงว่าแผนการกลืนชาติของตนเองอาจจะพบปัญหาอุปสรรคก็เป็นไปได้ เหล่าขุนนางในราชสำนักและข้าหลวงของฝรั่งเศสจึงเลือกเอาเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋ล่าน พระโอรสของจักรพรรดิดึคดึค ที่ประชาชนให้ความเคารพมากกว่าจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิธานห์ไธ (Thanh Thai) โดยหวังว่าจะเป็นการลดกระแสกดดันจากชาวเวียดนามได้ แต่ปรากฏว่าความคิดนี้ของฝรั่งเศสนี้กลับผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะจักรพรรดิหนุ่มผู้ชาญฉลาดพระองค์ใหม่นี้มีบุคคลิกที่ทรงนำสมัยและมีพระราชกุศโลบายที่หลักแหลม แม้ว่าทรงขมขื่นกับการที่ประเทศต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก แต่ก็ทรงเป็นมิตรกับชาวตะวันตกและพยายามปฏิรูปราชสำนักเวียดนามให้ทันสมัยโดยเอาแบบอย่างตะวันตกมาใช้ เพื่อทรงวางรากฐานให้ประเทศเข้มแข็งและสักวันจะสามารถขับไล่ฝรั่งเศสให้สำเร็จได้ 
จักรพรรดิ ธานห์ไธ (Emperor Thanh Thai) จักรพรรดิพระองด์ที่ 10 ของราชวงศ์เหงียน (1889 - 1907) 
และพระราชบิดาของจักรพรรดิดุยตัน ทรงเป็นจักรพรรดิที่เริ่มต้นแนวคิดการต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสในเวียดนาม
... ด้วยนโยบายที่ค่อนข้างผ่อนปรนของฝรั่งเศสในการปกครองเวียดนามในช่วงปี 1902 - 1907 ในไม่ช้าพระองค์ก็ตระหนักว่าตอนนี้ได้เวลาที่เวียดนามต้องลุกขึ้นมาต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส โดยว่ากันว่าพระองค์ทรงแสร้งทำว่าพระองค์มีความไม่สมประกอบด้านจิตใจ เพื่อให้เหล่าสายลับของฝรั่งเศสในพระราชวังหลวงที่เมืองเว้ เชื่อว่าพระองค์มีสติวิปลาต จนตายใจว่าพระองค์จะไม่ทรงมีพิษภัยกับการปกครองของฝรั่งเศส แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านจักรวรรดินิยมของจีน และทรงได้รับอิทธิพลความคิดของคัง หยู่เหวย (Kang Youwei - นักปฏิรูปหัวก้าวหน้าของจีนที่มีอิทธิพลอย่างมากของเหล่าปัญญาชนของจีนในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20)  เฉกเช่นเดียวกับนักเคลื่อนไหวและเหล่าปัญญาชนของเวียดนามในขณะนั้น เพื่อเริ่มดำเนินแผนการต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเวียดนาม แต่แล้วในปี 1907 พระองค์ถูกจับได้ ทรงถูกกองทัพฝรั่งเศสควบคุมตัวและเนรเทศไปอยู่ที่เมืองหวุงเต่า (Vung Tau) เมืองชายทะเลอันไกลโพ้นทางภาคใต้ของเวียดนาม แต่เพราะเกรงว่าจะเกิดการต่อต้านที่รุนแรงของชาวเวียดนาม อันเนื่องมาจากการปลดจักรพรรดิที่เป็นที่เป็นที่นิยมและเคารพนับถืออย่างมาก ทางฝรั่งเศสจึงตัดสินใจแต่งตั้งเจ้าชายเหงียนฟุค วินห์ซาน พระโอรสของจักรพรรดิธานห์ไธ ขึ้นเป็นจักรพรรดิดุยตัน (Duy Tan) หรือที่นักวิชาการไทยหลายท่านออกเสียงว่า "ยวีเติ้น" ขึ้นเป็นจักพรรดิต่อจากพระราชบิดา ขณะมีพระชนมายุได้เพียง 7 พรรษาเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียฝรั่งเศสก็คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นการลดแรงกดดันของประชาชนได้มากทีเดียว และในขณะเดียวกันก็ตระหนักว่า "ยุวกษัตริย์ย่อมเชื่อฟังและสามารถควบคุมได้ง่าย"


จักรพรรดิดุยตัน ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขณะพระชนมายุได้ 7 พรรษา
ขบวนเสด็จจักรพรรดิดุยตันในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระราชวังหลวงเมืองเว้ ปี 1907

.... กาลเวลาผ่านไปจากยุวกษัตริย์ ก็เจริญพระชนม์เป็นจักรพรรดิหนุ่ม ที่ตอนแรกฝรั่งเศสมองว่าสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วจักรพรรดิดุยตัน ทรงเจริญรอยตามพระราชบิดามาโดยตลอด เพราะขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในพระราชวังหลวง (อาจจะเรียกได้ว่าถูกกักบริเวณก็ได้) ทรงมีพระสหายเป็นเหล่าขุนนางบางกลุ่มที่ยังจงรักภักดีต่อพระราชบิดาของพระองค์ ที่ปลูกฝังแนวคิดการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศให้กับพระองค์ (อันจะมีผลต่อความคิดทางการเมืองของพระองค์ในอนาคต) แผนการการก่อตั้งกองกำลังเพื่อต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสจึงเริ่มขึ้น
ตรัน จ่าว ฟ๋าน  (Trần Cao Vân) ที่ปรึกษาและขุนนางเก่าตั้งแต่สมัยจักรพรรดิธานห์ไธ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อความคิดเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชของจักรพรรดิดุยตันตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สุดท้ายเขาถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ข้อหาต่อต้านอำนาจฝรั่งเศสในปี 1916

... ในปี 1916  จักรพรรดิดุยตัน ขณะมีพระชนมายุ 16 ชันษา และ ตรัน จ่าว ฟ๋าน (Tran Cao Van) ขุนนางคู่ใจที่ปลูกฝังความคิดการต่อสู้เพื่อเอกราชให้กับพระองค์ ได้อาศัยช่วงที่ฝรั่งเศสติดพันการศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยไม่ได้เข้มงวดเรื่องการปกครองดินแดนอาณานิคมมากนัก ได้ทำการหลบหนีออกจากพระราชวังหลวงเพื่อออกไปเคลื่อนไหวและบัญชาการกองกำลังต่อต้านฝรั่งเศสที่ตระเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ว่าแผนการลับนี้กลับรั่วไหลออกไปจากคนภายในกันเองเสียก่อน ทันใดนั้นกองทัพฝรั่งเศสก็เข้ามาล้อมพระราชวังหลวง จับตัวพระองค์พร้อมผู้ร่วมก่อการทั้งหมดได้ จากนั้นไม่กี่วันผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ทั้งหมดถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ แต่ฝรั่งเศสเห็นว่าไม่เป็นการดีแน่ๆถ้าจะประหารชีวิตจักรพรรดิดุยตันด้วย เพราะพระองค์ยังทรงชันษาไม่มากนัก และจะมีแรงกระเพื่อมมหาศาลตามมาถ้าประหารชีวิตพระองค์ ฝรั่งเศสจึงเลือกที่จะเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเรอูนิยงแทน พร้อมกับจักรพรรดิธานห์ไธพระราชบิดา เป็นการกำจัดสองอุปสรรคสำคัญของฝรั่งเศสออกไปในคราวเดียวกัน จากนั้นก็แต่งตั้งเจ้าชายเหงียนฟุค บู๋เด๋า พระโอรสของจักรพรรดิดองคานห์ ขึ้นเป็นจักรพรรดิไก๋ดินห์ (Khai Dinh) ขึ้นปกครองเวียดนามแทน ทรงเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดที่ดีเหมือนพระราชบิดาของพระองค์ ทรงมีนโยบายหลายอย่างที่สอดคล้องกับนโยบายการกลืนชาติของฝรั่งเศส พระองค์จึงไม่เป็นที่นิยมของชาวเวียดนาม แต่เป็นที่พอใจของฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก แต่ด้วยพระองค์ทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว ปลายปี 1925 พระองค์เสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ฝรั่งเศสจึงต้องตั้งพระโอรสขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนนั่นก็คือจักรพรรดิบ๋าวได๋ (Bao Dai) จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของเวียดนาม


จักรพรรดิ ไก๋ดินห์ (Emperor Khai Dinh) จักรพรรดิพระองด์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน (1916 - 1925) 
จักรพรรดิ บ๋าวได๋ (Emperor Bao Dai) จักรพรรดิพระองด์ที่ 13 ของราชวงศ์เหงียน (1926 - 1945)
จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม พระองค์เติบโตและได้รับการศึกษาอยู่ในฝรั่งเศสตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเป็นที่รับรุ้โดยทั่วไปว่าพระองค์เป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดให้กับฝรั่งเศส เช่นเดียวกับพระอัยกาและพระบิดา แต่ต่อมาภายหลังพระองค์มีกลับมามีบทบาทช่วงสั้นๆในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกี่ยวกับกระบวนการเรียกร้องเอกราชเวียดนาม แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากประชาชนเวียดนามไม่ได้ให้ความนิยมในตัวพระองค์มากนัก ท้ายที่สุดเมื่อเวียดนามล้มเลิกระบอบการปกครองแบบจักรพรรดิ พระองค์ก็เสด็จลี้ภัยไปประทับที่ประเทศฝรั่งเศสจนสิ้นพระชนม์ที่นั่น ในปี 1997

... ชีวิต ณ เกาะเรอูนียง แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้วก็ตาม จักรพรรดิดุยตัน ก็ยังเป็นที่นิยมและได้รับความเคารพอย่างสูงในหมู่ชาวเวียดนามที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเอกราชทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนั้นเมื่อพระองค์มาประทับอยู่ที่เรอูนียง ทำให้พระองค์ได้รับแนวคิดทางการเมืองใหม่ๆซึ่งล้วนแต่เป็นอุดมการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงให้การสนับสนุนแนวร่วมฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศสอย่างเปิดเผยด้วยการ เข้าร่วมชุมนุมและออกปราศัยสนับสนุนตัวแทน Popular Front ที่เกาะเรอูนียง  ในปี 1936  อย่างไรก็ตามด้วยสถานะของพระองค์ในตอนนั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่จะได้กลับมาต่อสู้เพื่อเอกราชในแผ่นดินมาตุภูมิอีกครั้ง 
จักรพรรดิดุยตันเข้าร่วมชุมนุมเพื่อสนับสนุนแนวร่วมฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส ที่เกาะเรอูนียง ในปี 1936


... ต่อมาหลังจากนั้นไม่นานนักสถานการณ์ของโลกก็เปลี่ยนไป เกิดความระส่ำระส่ายไปในทุกหนทุกแห่ง เนื่องด้วยการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนเกาะห่างไกลอย่างเรอูนิยงก็หนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน คือ ในปี 1940 หลังจากที่นาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองกรุงปารีสและดินแดนส่วนใหญ่บนภาคพื้นทวีปได้แล้วนั้น อาณานิคมโพ้นทะเลในมหาสมุทรอินเดีย เช่น มาดากัสการ์ มอริเชียส เรอูนิยงก็ถูกเหล่าทหารนาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองเช่นเดียวกัน ระบอบวีซี (Vichy Regime in France ) ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ปกครองและควบคุมดินแดนทั้งหมดของฝรั่งเศส ภายใต้การนำของนาซีเยอรมัน แต่ความชอบธรรมของระบอบการปกครองนี้ก็หมดไปเพราะเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นหลายอย่าง เช่นการยกเลิกพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตยหลายๆอย่าง การจับตัวหรือลักพาตัวชาวยิว หรือการสังหารประชาชนผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับแบบไม่มีการสอบสวน เหล่านี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการท้ายทายอำนาจรัฐบาลสาธารณรัฐครั้งที่ 3 (รัฐบาลหุ่นเชิดของนาซีเยอรมันที่นำระบอบวีซีมาใช้ปกครองฝรั่งเศส) 
... จากการที่จักรพรรดิดุยตัน ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองที่กดขี่ในระบอบวีซี ในฐานะหนึ่งในพลเมืองฝรั่งเศสด้วยนั้น ประกอบกับพระองค์เป็นผู้ที่ถูกปลูกฝังแนวคิดเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชติดตัวมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเข้าร่วมรบกับกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชฝรั่งเศส (Free France Force) ที่มีนายพลชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle) เป็นผู้นำกองกำลัง จนในที่สุดกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชของฝรั่งเศสที่เกาะเรอูนิยงก็ประสพชัยชนะ ในช่วงต้นปี 1945
บทบาทการเป็นนายทหารสื่อสารในกองเรือพิฆาต Leopard  ของกองกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชฝรั่งเศส
... หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สภาวะสงครามได้สิ้นสุดลง แต่กระแสการเรียกร้องเอกราชของเหล่าประเทศอาณานิคมกลับกลายมาเป็นประเด็นสำคัญแพร่กระจายไปทั่วโลกแทน เช่นเดียวกันเวียดนามก็เป็นหนึ่งที่มีการเรียกร้องเอกราชที่เข้มข้น ประกอบกับชัยชนะของกองทัพเวียดมินห์ ในสงครามมหาเอเชียบูรพาที่ร่วมกับกองกำลังสัมพันธมิตร สามารถขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศได้ ทำให้ประชาชาชนเวียดนามต่างนิยมและสนับสนุนกองทัพเวียดมินห์เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวปกครองประเทศแบบสาธารณรัฐได้ หลังจากที่จักรพรรดิบ๋าวได๋ทรงสละราชสมบัติในเดือนสิงหาคม ปี 1945  
... ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิดุยตัน จึงกลับมาเป็นที่สนใจของชาวโลกอีกครั้ง เมื่อประธานาธิดีคนใหม่ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ชาร์ล เดอ โกล เข้าเจราจากับจักรพรรดิดุยตัน เพื่อขอให้พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง เพราะสถานการณ์ของฝรั่งเศสในเวียดนามค่อนข้างย่ำแย่ และเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าองค์จักรพรรดิบ๋าวได๋ ไม่เป็นที่ต้องการของชาวเวียดนามอีกต่อไป ทั้งนี้ฝรั่งเศสมองว่าจักรพรรดิดุยตันยังเป็นที่นิยมของชาวเวียดนามอยู่มาก เพราะพระองค์เปรียบเสมือนหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียกร้องเอกราชของชาวเวียดนาม การได้พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิอีกครั้ง ประเมินได้ว่าจะเป็นจุดประนีประนอมที่ดีที่สุด เพื่อลดแรงต่อต้านยืดเวลาให้ฝรั่งเศสตั้งหลักเพื่อเจราจาหรือหาข้อตกลงกับเวียดนามได้อีกระยะหนึ่ง แต่การเจราจาในครั้งนั้นมีรายละเอียดอย่างไรนั้นไม่มีใครทราบ ท้ายสุดแล้ว จักรพรรดิดุยตันก็ตัดสินพระทัยกลับไปยังเวียดนาม ท่ามกลางการรอคอยของประชาชนชาวเวียดที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันจักรพรรดิ ที่หวังว่าพระองค์จะกลับมาเป็นแกนนำในการเรียกร้องเอกราชให้กับเวียดนาม 
... แต่แล้ว วันที่ 26 ธันวาคม 1945 ในระหว่างเส้นทางที่พระองค์จะเดินทางกลับไปยังเวียดนามอีกครั้งพร้อมกับเหล่าผู้สนันสนุนชาวเวียดนามหลายคน ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง พระองค์และผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิต พร้อมกับเป็นการดับความหวังของชาวเวียดนามที่มีต่อพระองค์ในฐานะผู้นำการเรียกร้องเอกราช จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ความหวังของการเรียกร้องเอกราชในเวียดนามทั้งหมดเทไปให้กับโฮจิมินห์ จนสุดท้ายก็เกิดสงครามระหว่างชาวเวียดนามกับฝรั่งเศสในปี 1949 และกินเวลาต่อมากว่า 5 ปี กระทั่งเวียดนามสามารถเผด็จศึกฝรั่งเศสได้ที่สมรภูมิเดียนเบียนฟู ในปี 1954 จนเป็นที่มาของอนุสัญญาเจนีวา ที่มีข้อตกลงให้แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ประเทศคือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้


พระโอรสทั้ง  3 พระองค์นำหน้าขบวนเชิญอัฐิของจักรพรรดิดุยตัน
กลับมาบรรจุเอาไว้ในสุสานหลวง พระราชวังเดียนโธ  ในปี  1987

... นัยสำคัญประการหนึ่งในการมองภาพทางประวัติศาสตร์ ถ้าพระองค์ไม่ประสบอุบัติเหตุสิ้นพระชนม์เสียก่อน หน้าประวัติศาสตร์ของเวียดนามจะเป็นอย่างไร ในฐานะผู้นำของพระองค์จะนำพาเวียดนามไปในทางไหน โฮจิมินห์จะมีบทบาทอย่างไรในกระบวนการเรียกร้องเอกราชให้เวียดนาม สงครามเวียดนามจะเกิดขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าหลายสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากหน้าประวัติศาสตร์ที่เป็นอยู่ ไม่มากก็น้อย 
... บทบาทของพระองค์ในเรื่องการต่อสู้เอกราชเพื่อชาวเวียดนามนั้นแม้จะไม่ได้โดดเด่นในหน้าประวัติศาสตร์ที่พอจะเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางนั้น แต่เชื่อว่าใครที่ได้อ่านอัตชีวประวัติของพระองค์แล้วก็จะพบว่า เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เขามีความรักต่อแผ่นดินเกิดผู้นี้ น่าจะทำให้พวกเราระลึกถึงเรื่องราวชีวิตที่น่าจดจำเรื่องหนึ่งได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยที่สุดถ้าจะกล่าวว่าการได้มาซึ่งชัยชนะและความเป็นเอกราชของเวียดนามที่นำโดยโฮจิมินห์นั้น จะต้องมีเรื่องราวของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งในชัยชนะครั้งนั้นด้วย

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรฮีนจา ... ข่าวนี้มีเรื่องเล่าเยอะ

โรฮีนจามาจากไหน? ใครพอทราบหรือเปล่า ... เชื่อว่านักเสพข่าวแบบดูแต่พาดหัวอย่างเดียวหลายคนคงฟันธงว่า พม่าชัวร์ 100%  ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอกครับที่มันจะเกิดคำว่า "ประเทศต้นทาง - กลางทาง - ปลายทาง"  แต่ว่าประเด็นสำคัญของความซับซ้อนในปัญหานี้มันก็คือชาวโรฮีนจาไม่มีประเทศต้นทางอะดิ !!!  อ้าวแล้วมันอย่างไรเนี่ย ก็เห็นๆกันอยู่ว่านางอพยพหนีตายมาจากพม่านี่นา???
... ชาวโรฮีนจานั้นส่วนใหญ่เค้าอาศัยอยู่ที่รัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ในเขตภาคตะวันตกของประเทศพม่า ซึ่งมีแนวเขตติดต่อกับประเทศบังคลาเทศ เค้าว่ากันว่าชาวโรฮีนจานั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นกลุ่มเดียวกับชาวเบงกาลี โดยมีแนวคิดหลักๆอยู่ 2 แนวทางด้วยกันคือ อย่างแรก - ชาวโรฮีนจานั้นเป็นชนเผ่าดังเดิมที่อาศัยในแถบนี้อยู่แล้ว กับอย่างที่สองก็คือ ชาวโรฮีนจาคือกลุ่มอพยพเข้ามาตั้งรกราก (อาจจะเรียกว่าถูกเกณฑ์เข้ามาก็ได้น่ะ) ในแถบรัฐยะไข่สมัยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ดังนั้นสิ่งที่แน่ๆนอนก็คือ โรฮีนจาไม่ใช่พม่า หรือ กลุ่มเกือบจะพม่า (มอญ กระเหรี่ยง คะฉิ่น ไทใหญ่ ยะขิ่น ฯลฯ) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแนวทางใดก็ตามก็หาสำคัญไม่ เพราะประเด็นสำคัญก็คือรัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮีนจาว่าเป็นพลเมืองของพม่า ดังจะเห็นได้จากกฎหมายว่าด้วยการรับรองความเป็นพลเมืองของพม่า ในปี พ.ศ. 2525 สมัยนายพลเนวิน ไม่ได้ให้การรับรองความเป็นพลเมืองพม่ากับชาวโรฮีนจากว่า 800,000 คน ในรัฐยะไข่ ด้วยเหตุผลที่ว่า 

"ความเป็นพลเมือง ระบุไว้ว่า “สัญชาติ ดังต่อไปนี้ คะฉิ่น คะยา กะเหรี่ยง ชิน เบอร์มัน มอญ ยะไข่ หรือฉาน และกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่อยู่ภายในรัฐเป็นการถาวรในช่วงเวลาก่อน ค.ศ. 1823 (ก่อนสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 1)  ให้ถือว่าเป็นพลเมืองของพม่า"   

...ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวชาวโรฮีนจาจึงถูกพม่ามองว่าเป็น "ผู้อพยพ" โดยปริยาย เพราะพม่าเชื่อว่าชาวโรฮีนจาคือชาวเบงกาลีที่อพยพเป็นแรงงานในยะไข่ช่วงหลังปี 1826 ภายหลังจากที่พม่าเสียดินแดนยะไข่ให้กับอังกฤษตามสนธิสัญญายันดาโบแล้ว ประกอบกับเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวสนับสนุนว่าชาวโรฮีนจาเป็น "คนอื่น" ในสายตาพม่า เช่น
  • ในปี 1885 ก่อนที่พม่าเสียเอกราชให้กับอังกฤษในสงครามครั้งที่ 3  พม่าเข้าโจมตียะไข่อย่างหนัก ประชากรในยะไข่ โดยเฉพาะชาวมุสลิมในยะไข่หนีตายเข้าไปในเขตปกครองของอังกฤษที่จิตตะกอง ทิ้งเมืองให้รกร้างว่างเปล่า ทำให้พม่าเชื่อว่าชาวมุสลิมในยะไข่นั้นไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่ในยะไข่ เพราะหนีไปขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แทนที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อพม่า (กรณีนี้ชาวพม่ารับรองเฉพาะชาวยะขิ่นที่เป็นชาติพันธุ์พม่าที่อาศัยอยู่ในยะไข่เท่านั้น) 
  • ช่วงการปกครองของอังกฤษ มีการส่งเสริมให้ชาวเบงกาลีอพยพเข้ามาในแถบยะไข่ ที่รกร้างว่างเปล่ามานานและเข้ามาเป็นแรงงานในฟาร์มของชาวอังกฤษที่เริ่มเข้ามาเป็นทำการเกษตรกรรมบริเวณนี้ โดยการที่อังกฤษยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอลและยะไข่ ทำให้ชาวมุสลิมในเบงกอลอพยพเข้ามาในยะไข่กว่า 50,000 คน ซึ่งแน่นอนถ้ามองตามเหตุผลในข้อแรก กลุ่มชาวมุสลิมเหล่านี้ถือว่าเป็นไม่ใช่ชาวพม่า
  • ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มกองกำลัง V- Force ชาวโรฮีนจาที่ทางอังกฤษสนับสนุนอยู่กับกลุ่มชนพื้นเมืองชาวยะขิ่นที่คนพม่ามองว่าเป็นเชื้อสายพม่า ดังนั้นภาพของโรฮีนจาในสายตาพม่าจึงถูกมองว่าเป็น "คนอื่น" ได้เป็นอย่างดี
  • ในปี 1971 เกิดสงครามประกาศอิสรภาพในบังคลาเทศ ทำให้ชาวมุสลิมในบังคลาเทศได้หนีภัยสงครามทะลักเข้ามาในพม่าหลายแสนคนด้วยกัน ในจำนวนนี้แน่นอนครับว่าต้องมีผู้อพยพที่เป็นชาวโรฮีนจาในบังคลาเทศแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวโรฮีนจาในเขตรอยต่อระหว่างรัฐยะไข่กับบังคลาเทศเหล่านี้ก็เป็นบุคคลที่ไม่สามารถระบุสัญชาติได้อยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ในปี 1982 ตอนออกกฎหมายว่าด้วยการรับรองความเป็นพลเมือง รัฐบาลพม่าจะมองว่าชาวโรฮีนจาที่ยังอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่นั้นมีสถานะเป็นผู้อพยพ ไม่ใช่ชนพื้นเมืองของพม่า
.... แต่ก็มีคำถามสงสัยว่า "ถ้าชาวโรฮีนจาเป็นชนพื้นเมืองที่อยู่ในยะไข่มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว อย่างนี้จะทำยังไง??"  คำตอบนี้ก็ตอบว่า "กรูก็ไม่ให้สัญชาติพวกเมริงอยู่ดีเพราะอย่างไรเสียโรฮีนจาอย่างไงก็ไม่เหมือนพม่า ทั้งภาษา วัฒนธรรม ศาสนา แม้กระทั่งรูปร่างหน้าตา ดูอย่างไรก็แขกดีๆนี่แหละ"  
... จริงๆแล้วจากคำถามคำตอบนี้ก็ดูเป็นไปได้น่ะครับท่านผู้ชม เพราะในอดีตมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ชาวเบงกาลี-มุสลิม เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยะไข่ตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่ 15 แล้ว คือ อาณาจักร "มรัค-อู" (Mrauk U) ซึ่งมีความรุ่งเรืองในช่วงรุ่นเดียวกับอาณาจักรตองอูของพม่า อันนี้ก็พอเชื่อได้ว่าอาจจะเป็นบรรพบุรษของชาวโรฮีนจาในปัจจุบันก็เป็นไปได้ แต่สุดท้ายไม่ว่าเรื่องนี้จะมีข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้เพียงใด ในสายตาพม่าก็มอง "โรฮีนจาเป็นคนอื่นอยู่ดี" สรุปก็คือชาวโรฮีนจาจึงกลายเป็นบุคคลไร้สัญชาติมาจนทุกวันนี้ครับ และที่อยู่ที่พม่าในปัจจุบันก็อยู่แบบไร้อนาคต ก่อความรุนแรงบ้าง ถูกปราบปรามบ้าง กลายเป็นปัญหาที่พม่าไม่อยากได้ โรฮีนจาไม่อยากอยู่ แต่ไม่มีใครรับ ไม่มีใครส่ง จนมาทุกวันนี้
... ดดังนั้นการที่พม่าปฏิเสธความเป็นประเทศต้นทางของโรฮีนจา จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับ เพราะการยอมรับว่าตัวเองเป็นต้นทางก็เหมือนกับฆ่าตัวตายชัดๆ ปัญหาทั้งหมดก็จะถูกผลักให้เป็นภาระของพม่าอย่างเดียว  ดังนั้นเราก็ต้องเข้าใจว่าปัญหานี้มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าที่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำจะแก้กันเองได้น่ะครับท่านผู้ชม แล้วถ้าโรฮีนจาลอยเรือมาทำไมเราไม่รับเอาไว้เพื่อเห็นมนุษยธรรม ... นั่นน่ะสิทำไมเราไม่รับ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ การรับหรือไม่รับขึ้นอยู่กับผลที่ตามมาต่างหากว่าถ้ารับแล้วผลที่ตามมาเป็นยังไง ถ้าไม่รับผลจะเป็นอย่างไร ก็อย่างที่บอกไปปัญหาชาวโรฮีนจาค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่ต้นทาง กลางทาง ปลายทางจะสามารถจัดการกับปัญหากันเองได้ กล่าวคือเงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันแก้ปัญหาโรฮีนจานั้นยังไม่มีมนุษย์ประเทศใดแสดงความจำนงที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพราะถ้าใครอาสาล่ะก็ พวกที่ร้องแรกแหกกระเชอก็จะรีบถีบๆภาระให้รับปัญหาไปทันที ดังนั้นถ้ายังไม่ตกลงกันดีๆ ไม่กำหนดเงื่อนไขกันให้ดี ปัญหาก็ยังคาราคาซังไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพหรอกครับพี่น้อง

... เอาง่ายๆยกตัวอย่างประเทศไทยแลนด์แดนลุงตู่ กรณีถ้าไทยรับผู้อพยพชาวโรฮีนจาเข้ามาจะเกิดอะไรขึ้น
  • ชาวโรฮีนจาที่เหลือไม่ว่าจะที่ลอยลำอยู่หรือที่ยังไม่มา ก็จะแห่กันมาที่บ้านเรา ก็เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็จะมีที่พักชั่วคราวก่อนจะหาทางไปประเทศที่ 3 อีกทั้งบ้านเรายังมีส่วนที่มีชาวมุสลิม เป็น Majority อยู่หลายพื้นที่ครับ เช่น จังหวัดสตูล หรือ อำเภอตามแนวชายแดนมาเลเซียของสงขลา (อ.รัตภูมิ, สะเดา, สะบ้าย้อย)  ซึ่งน่าจะทำให้ชาวโรฮีนจาเต็มใจมากขึ้นที่จะอพยพเข้ามาในประเทศไทย หรือบางคนอาจจะหาวิธีที่จะหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทยกึ่งถาวรก็เป็นได้ ปัญหาความมั่นคงก็จะตามมา ลองนึกดูว่าผู้อพยพจำนวนมากมาอยู่รวมกันย่อมยากต่อการจัดการ ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม หรือ อิทธิพลเถื่อนในพื้นที่จะตามมา ไทยก็จะถูกจับตามากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาการค้ามนุษย์จะเกิดขึ้นแน่นอนถ้าเราเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว เพราะกลุ่มเหล่านี้ย่อมแสวงหาผลประโยชน์จากชาวโรฮีนจาที่ต้องการหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยแน่นอน
  • แรงงานชาวโรฮีนจาจัดว่าเป็นแรงงานไร้ฝีมือ เพราะสถานภาพชาวโรฮีนจาในพม่าแทบไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน พวกเขาไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลพม่า ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนาความรู้ต่างๆ ประกอบกับชาวโรฮีนจาไม่ได้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีทักษะด้านการเพาะปลูก ว่ากันว่าชาวโรฮีนจาบางคนไม่รู้จักวิธีเพาะปลูก ขุดดินกันเลยทีเดียว ดังนั้นกลุ่มที่เห็นว่าแม้โรฮีนจาจะอพยพเข้ามาบ้านเราเยอะ ก็ควรจะใช้ประโยชน์ด้านแรงงานกับเขาเหมือนแรงงานต่างด้าวแถวมหาชัย ตลาดไท ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าคิดอย่างนั้นคงต้องคิดใหม่เสียแล้วครับ
  • เชื่อว่ากดดันไทยเรื่องการจัดการสิทธิมนุษยชนแน่นอน UNHCR ต้องมาจุ้นจ้าน อเมริกาต้องมาชี้นิ้วนั่นโน่นนี่อย่างแน่นอน
ตอนนี้อาเซียนเริ่มตระหนักปัญหาเรื่องโรฮีนจากันแล้วครับ จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่ระดับนานาชาติเข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นตอนนี้มีเจ้าภาพร่วมแล้วครับ ทั้ง UN, ASEAN , มาเลเซีย, อินโดฯ, ฟิลิปปินส์, ไทยแลนด์, บังคลาเทศ อย่างนี้ก็เลยสบทางพม่าเลยครับ ออกตัวก้าวขาร่วมวงมาด้วยครับ ขอเป็นเจ้าภาพร่วมเพราะใจจริงพม่าก็อยากแก้ปัญหานี้เหมือนกันครับ แต่้เป็นเจ้าเดี่ยวนี่ก็คงลำบาก สุดท้ายปัญหาโรฮีนจาจะแก้ยังไง ก็ต้องติดตามกันต่อแล้วกันน่ะครับ

.