โรฮีนจามาจากไหน? ใครพอทราบหรือเปล่า ... เชื่อว่านักเสพข่าวแบบดูแต่พาดหัวอย่างเดียวหลายคนคงฟันธงว่า พม่าชัวร์ 100% ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอกครับที่มันจะเกิดคำว่า "ประเทศต้นทาง - กลางทาง - ปลายทาง" แต่ว่าประเด็นสำคัญของความซับซ้อนในปัญหานี้มันก็คือชาวโรฮีนจาไม่มีประเทศต้นทางอะดิ !!! อ้าวแล้วมันอย่างไรเนี่ย ก็เห็นๆกันอยู่ว่านางอพยพหนีตายมาจากพม่านี่นา???
... ชาวโรฮีนจานั้นส่วนใหญ่เค้าอาศัยอยู่ที่รัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ในเขตภาคตะวันตกของประเทศพม่า ซึ่งมีแนวเขตติดต่อกับประเทศบังคลาเทศ เค้าว่ากันว่าชาวโรฮีนจานั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นกลุ่มเดียวกับชาวเบงกาลี โดยมีแนวคิดหลักๆอยู่ 2 แนวทางด้วยกันคือ อย่างแรก - ชาวโรฮีนจานั้นเป็นชนเผ่าดังเดิมที่อาศัยในแถบนี้อยู่แล้ว กับอย่างที่สองก็คือ ชาวโรฮีนจาคือกลุ่มอพยพเข้ามาตั้งรกราก (อาจจะเรียกว่าถูกเกณฑ์เข้ามาก็ได้น่ะ) ในแถบรัฐยะไข่สมัยอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ดังนั้นสิ่งที่แน่ๆนอนก็คือ โรฮีนจาไม่ใช่พม่า หรือ กลุ่มเกือบจะพม่า (มอญ กระเหรี่ยง คะฉิ่น ไทใหญ่ ยะขิ่น ฯลฯ) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแนวทางใดก็ตามก็หาสำคัญไม่ เพราะประเด็นสำคัญก็คือรัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮีนจาว่าเป็นพลเมืองของพม่า ดังจะเห็นได้จากกฎหมายว่าด้วยการรับรองความเป็นพลเมืองของพม่า ในปี พ.ศ. 2525 สมัยนายพลเนวิน ไม่ได้ให้การรับรองความเป็นพลเมืองพม่ากับชาวโรฮีนจากว่า 800,000 คน ในรัฐยะไข่ ด้วยเหตุผลที่ว่า
"ความเป็นพลเมือง ระบุไว้ว่า “สัญชาติ ดังต่อไปนี้ คะฉิ่น คะยา กะเหรี่ยง ชิน เบอร์มัน มอญ ยะไข่ หรือฉาน และกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่อยู่ภายในรัฐเป็นการถาวรในช่วงเวลาก่อน ค.ศ. 1823 (ก่อนสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 1) ให้ถือว่าเป็นพลเมืองของพม่า"
...ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวชาวโรฮีนจาจึงถูกพม่ามองว่าเป็น "ผู้อพยพ" โดยปริยาย เพราะพม่าเชื่อว่าชาวโรฮีนจาคือชาวเบงกาลีที่อพยพเป็นแรงงานในยะไข่ช่วงหลังปี 1826 ภายหลังจากที่พม่าเสียดินแดนยะไข่ให้กับอังกฤษตามสนธิสัญญายันดาโบแล้ว ประกอบกับเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวสนับสนุนว่าชาวโรฮีนจาเป็น "คนอื่น" ในสายตาพม่า เช่น
- ในปี 1885 ก่อนที่พม่าเสียเอกราชให้กับอังกฤษในสงครามครั้งที่ 3 พม่าเข้าโจมตียะไข่อย่างหนัก ประชากรในยะไข่ โดยเฉพาะชาวมุสลิมในยะไข่หนีตายเข้าไปในเขตปกครองของอังกฤษที่จิตตะกอง ทิ้งเมืองให้รกร้างว่างเปล่า ทำให้พม่าเชื่อว่าชาวมุสลิมในยะไข่นั้นไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่ในยะไข่ เพราะหนีไปขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ แทนที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อพม่า (กรณีนี้ชาวพม่ารับรองเฉพาะชาวยะขิ่นที่เป็นชาติพันธุ์พม่าที่อาศัยอยู่ในยะไข่เท่านั้น)
- ช่วงการปกครองของอังกฤษ มีการส่งเสริมให้ชาวเบงกาลีอพยพเข้ามาในแถบยะไข่ ที่รกร้างว่างเปล่ามานานและเข้ามาเป็นแรงงานในฟาร์มของชาวอังกฤษที่เริ่มเข้ามาเป็นทำการเกษตรกรรมบริเวณนี้ โดยการที่อังกฤษยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอลและยะไข่ ทำให้ชาวมุสลิมในเบงกอลอพยพเข้ามาในยะไข่กว่า 50,000 คน ซึ่งแน่นอนถ้ามองตามเหตุผลในข้อแรก กลุ่มชาวมุสลิมเหล่านี้ถือว่าเป็นไม่ใช่ชาวพม่า
- ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มกองกำลัง V- Force ชาวโรฮีนจาที่ทางอังกฤษสนับสนุนอยู่กับกลุ่มชนพื้นเมืองชาวยะขิ่นที่คนพม่ามองว่าเป็นเชื้อสายพม่า ดังนั้นภาพของโรฮีนจาในสายตาพม่าจึงถูกมองว่าเป็น "คนอื่น" ได้เป็นอย่างดี
- ในปี 1971 เกิดสงครามประกาศอิสรภาพในบังคลาเทศ ทำให้ชาวมุสลิมในบังคลาเทศได้หนีภัยสงครามทะลักเข้ามาในพม่าหลายแสนคนด้วยกัน ในจำนวนนี้แน่นอนครับว่าต้องมีผู้อพยพที่เป็นชาวโรฮีนจาในบังคลาเทศแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านี้ชาวโรฮีนจาในเขตรอยต่อระหว่างรัฐยะไข่กับบังคลาเทศเหล่านี้ก็เป็นบุคคลที่ไม่สามารถระบุสัญชาติได้อยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ในปี 1982 ตอนออกกฎหมายว่าด้วยการรับรองความเป็นพลเมือง รัฐบาลพม่าจะมองว่าชาวโรฮีนจาที่ยังอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่นั้นมีสถานะเป็นผู้อพยพ ไม่ใช่ชนพื้นเมืองของพม่า
.... แต่ก็มีคำถามสงสัยว่า "ถ้าชาวโรฮีนจาเป็นชนพื้นเมืองที่อยู่ในยะไข่มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว อย่างนี้จะทำยังไง??" คำตอบนี้ก็ตอบว่า "กรูก็ไม่ให้สัญชาติพวกเมริงอยู่ดีเพราะอย่างไรเสียโรฮีนจาอย่างไงก็ไม่เหมือนพม่า ทั้งภาษา วัฒนธรรม ศาสนา แม้กระทั่งรูปร่างหน้าตา ดูอย่างไรก็แขกดีๆนี่แหละ"
... จริงๆแล้วจากคำถามคำตอบนี้ก็ดูเป็นไปได้น่ะครับท่านผู้ชม เพราะในอดีตมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ชาวเบงกาลี-มุสลิม เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยะไข่ตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่ 15 แล้ว คือ อาณาจักร "มรัค-อู" (Mrauk U) ซึ่งมีความรุ่งเรืองในช่วงรุ่นเดียวกับอาณาจักรตองอูของพม่า อันนี้ก็พอเชื่อได้ว่าอาจจะเป็นบรรพบุรษของชาวโรฮีนจาในปัจจุบันก็เป็นไปได้ แต่สุดท้ายไม่ว่าเรื่องนี้จะมีข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือได้เพียงใด ในสายตาพม่าก็มอง "โรฮีนจาเป็นคนอื่นอยู่ดี" สรุปก็คือชาวโรฮีนจาจึงกลายเป็นบุคคลไร้สัญชาติมาจนทุกวันนี้ครับ และที่อยู่ที่พม่าในปัจจุบันก็อยู่แบบไร้อนาคต ก่อความรุนแรงบ้าง ถูกปราบปรามบ้าง กลายเป็นปัญหาที่พม่าไม่อยากได้ โรฮีนจาไม่อยากอยู่ แต่ไม่มีใครรับ ไม่มีใครส่ง จนมาทุกวันนี้
... ดดังนั้นการที่พม่าปฏิเสธความเป็นประเทศต้นทางของโรฮีนจา จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับ เพราะการยอมรับว่าตัวเองเป็นต้นทางก็เหมือนกับฆ่าตัวตายชัดๆ ปัญหาทั้งหมดก็จะถูกผลักให้เป็นภาระของพม่าอย่างเดียว ดังนั้นเราก็ต้องเข้าใจว่าปัญหานี้มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าที่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำจะแก้กันเองได้น่ะครับท่านผู้ชม แล้วถ้าโรฮีนจาลอยเรือมาทำไมเราไม่รับเอาไว้เพื่อเห็นมนุษยธรรม ... นั่นน่ะสิทำไมเราไม่รับ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ การรับหรือไม่รับขึ้นอยู่กับผลที่ตามมาต่างหากว่าถ้ารับแล้วผลที่ตามมาเป็นยังไง ถ้าไม่รับผลจะเป็นอย่างไร ก็อย่างที่บอกไปปัญหาชาวโรฮีนจาค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่ต้นทาง กลางทาง ปลายทางจะสามารถจัดการกับปัญหากันเองได้ กล่าวคือเงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันแก้ปัญหาโรฮีนจานั้นยังไม่มีมนุษย์ประเทศใดแสดงความจำนงที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพราะถ้าใครอาสาล่ะก็ พวกที่ร้องแรกแหกกระเชอก็จะรีบถีบๆภาระให้รับปัญหาไปทันที ดังนั้นถ้ายังไม่ตกลงกันดีๆ ไม่กำหนดเงื่อนไขกันให้ดี ปัญหาก็ยังคาราคาซังไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพหรอกครับพี่น้อง
... เอาง่ายๆยกตัวอย่างประเทศไทยแลนด์แดนลุงตู่ กรณีถ้าไทยรับผู้อพยพชาวโรฮีนจาเข้ามาจะเกิดอะไรขึ้น
- ชาวโรฮีนจาที่เหลือไม่ว่าจะที่ลอยลำอยู่หรือที่ยังไม่มา ก็จะแห่กันมาที่บ้านเรา ก็เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็จะมีที่พักชั่วคราวก่อนจะหาทางไปประเทศที่ 3 อีกทั้งบ้านเรายังมีส่วนที่มีชาวมุสลิม เป็น Majority อยู่หลายพื้นที่ครับ เช่น จังหวัดสตูล หรือ อำเภอตามแนวชายแดนมาเลเซียของสงขลา (อ.รัตภูมิ, สะเดา, สะบ้าย้อย) ซึ่งน่าจะทำให้ชาวโรฮีนจาเต็มใจมากขึ้นที่จะอพยพเข้ามาในประเทศไทย หรือบางคนอาจจะหาวิธีที่จะหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทยกึ่งถาวรก็เป็นได้ ปัญหาความมั่นคงก็จะตามมา ลองนึกดูว่าผู้อพยพจำนวนมากมาอยู่รวมกันย่อมยากต่อการจัดการ ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม หรือ อิทธิพลเถื่อนในพื้นที่จะตามมา ไทยก็จะถูกจับตามากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาการค้ามนุษย์จะเกิดขึ้นแน่นอนถ้าเราเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว เพราะกลุ่มเหล่านี้ย่อมแสวงหาผลประโยชน์จากชาวโรฮีนจาที่ต้องการหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยแน่นอน
- แรงงานชาวโรฮีนจาจัดว่าเป็นแรงงานไร้ฝีมือ เพราะสถานภาพชาวโรฮีนจาในพม่าแทบไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน พวกเขาไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลพม่า ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนาความรู้ต่างๆ ประกอบกับชาวโรฮีนจาไม่ได้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีทักษะด้านการเพาะปลูก ว่ากันว่าชาวโรฮีนจาบางคนไม่รู้จักวิธีเพาะปลูก ขุดดินกันเลยทีเดียว ดังนั้นกลุ่มที่เห็นว่าแม้โรฮีนจาจะอพยพเข้ามาบ้านเราเยอะ ก็ควรจะใช้ประโยชน์ด้านแรงงานกับเขาเหมือนแรงงานต่างด้าวแถวมหาชัย ตลาดไท ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าคิดอย่างนั้นคงต้องคิดใหม่เสียแล้วครับ
- เชื่อว่ากดดันไทยเรื่องการจัดการสิทธิมนุษยชนแน่นอน UNHCR ต้องมาจุ้นจ้าน อเมริกาต้องมาชี้นิ้วนั่นโน่นนี่อย่างแน่นอน
ตอนนี้อาเซียนเริ่มตระหนักปัญหาเรื่องโรฮีนจากันแล้วครับ จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่ระดับนานาชาติเข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นตอนนี้มีเจ้าภาพร่วมแล้วครับ ทั้ง UN, ASEAN , มาเลเซีย, อินโดฯ, ฟิลิปปินส์, ไทยแลนด์, บังคลาเทศ อย่างนี้ก็เลยสบทางพม่าเลยครับ ออกตัวก้าวขาร่วมวงมาด้วยครับ ขอเป็นเจ้าภาพร่วมเพราะใจจริงพม่าก็อยากแก้ปัญหานี้เหมือนกันครับ แต่้เป็นเจ้าเดี่ยวนี่ก็คงลำบาก สุดท้ายปัญหาโรฮีนจาจะแก้ยังไง ก็ต้องติดตามกันต่อแล้วกันน่ะครับ

.